เควิน คาร์สัน. บทความต้นฉบับ: Venture Communism. 22 ธันวาคม 2014. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin
ไคลเนอร์เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางชนชั้นด้วยแนวทางวัตถุนิยมคล้ายๆ กับมาร์กซ์
การเข้าถึงความมั่งคั่งที่เกิดจากการยึดกุมมูลค่าส่วนเกินอย่างต่อเนื่อง ทำให้นายทุนสามารถมอบโอกาสให้แก่นักนวัตกรรมรุ่นแล้วรุ่นเล่า ให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนลำดับรองๆ ในสโมสรของตน ด้วยการขายมูลค่าการผลิตในอนาคตของสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น แลกเปลี่ยนกับความมั่งคั่งในปัจจุบันที่จำเป็นต่อการเริ่มต้นกิจการ มูลค่าที่ถูกปล้นชิงและตายไปแล้วจากอดีตได้เข้าครอบครองมูลค่าที่ยังไม่เกิดขึ้นของอนาคต
* * *
ไม่ว่าเราจะยอมให้ผลิตภาพของเราส่วนใดถูกพรากไป ผลก็จะย้อนกลับมาในรูปของการกดขี่พวกเรากันเอง
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะการผูกขาดหน้าที่ในการทำการตลาดให้แก่คุณค่าในอนาคต (marketing future value) ประกอบกับการสร้างพื้นเทียมๆ (artificial floor) ขึ้นมารองรับต้นทุนในการริเริ่มกิจการ ผลิตภาพของกลุ่มที่มีสถานะเท่าเทียมกันซึ่งเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายและทำงานร่วมกันในแนวราบ (horizontal, networked peer groups) ถูกฉกฉวยไปโดยผู้ถือครองสิทธิในทรัพย์สินเทียม
ผู้ที่สามารถควบคุมการหมุนเวียนของผลผลิตจากแรงงานของผู้อื่น ย่อมสามารถกำหนดกฎหมายและสถาบันทางสังคมให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเองได้ ส่วนผู้ที่ไม่สามารถรักษาการควบคุมผลผลิตจากแรงงานของตนเองไว้ได้ ย่อมจะไม่สามารถต่อต้านได้เช่นกัน
โธมัส ฮอดจ์สกิน โต้แย้งหลักการเรื่อง “กองทุนแรงงาน” (labor fund) ไว้อย่างหนักแน่น เขาชี้ว่าการจัดหาทรัพยากรยังชีพให้แก่แรงงานที่กำลังทำการผลิตอยู่นั้น สามารถอธิบายได้อย่างแม่นยำยิ่งกว่าในลักษณะแนวราบ คือเป็นกระบวนการที่แรงงานต่างให้เครดิตซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง (continual mutual advance of credit) โดยอ้างอิงจากผลผลิตในอนาคต นายทุนจึงมิใช่ผู้ที่สำรองจ่ายค่าจ้างจากกองทุนแรงงานซึ่งมาจากการ “อดออมของตนในอดีต” (past abstention) แต่เป็นผู้ที่อาศัยการยึดครองและการผูกขาดหน้าที่การให้เครดิตซึ่งกันและกันนี้ โดยชนชั้นอภิสิทธิ์ชน ด้วยความช่วยเหลือจากอำนาจรัฐ
แนวคิดที่ว่าการอดออมของนายทุน (capitalist abstention) คือแหล่งที่มาจากกองทุนแรงงานอันลึกลับ และกำไรคือผลตอบแทนจากการอดออมหรือ “ความชอบที่ยึดโยงกับระยะเวลาที่ยาวนาน” (long time-preference) ของนายทุนเองเป็นแนวคิดที่ชวนหัวเราะ เมื่อพิจารณาว่าต้นกำเนิดของการสะสมทุนหรือการรวบรวมกองทุนลงทุนขนาดมหาศาลไว้ในมือของชนชั้นมหาเศรษฐี (plutocracy) แท้จริงแล้วเกิดขึ้นผ่านการปล้นชิงมากกว่าผ่านการอดหรือการออม และสิ่งนี้ยิ่งน่าขันขึ้นไปอีกเมื่อพิจารณาว่า ธนาคารปล่อยเงินกู้โดยสร้างมันขึ้นจากอากาศ โดยแทบไม่ต้องแสร้งทำเป็นว่ามีเงินออมของใครมาค้ำประกัน
การเสื่อมสลายลงอย่างรวดเร็วรุนแรงของอุปสรรคประการหลังอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีชั่วขณะ (ดังที่ดักลาส รัชคอฟฟ์อธิบายไว้) กำลังทำให้ความจำเป็นของเงินทุนร่วมลงทุน (venture capital) ลดน้อยลงเรื่อยๆ
เพื่อให้ชนชั้นนายทุนดำรงอยู่ได้ ตลาดจำเป็นต้องถูกบิดเบือน…ทุนนิยมต้องทำให้ราคาของทุนสูงขึ้นโดยกีดกันไม่ให้แรงงานเข้าถึงได้ ในความเป็นจริงแล้ว “ตลาดเสรี” คือสิ่งที่เจ้าของทรัพย์สินบังคับใช้กับแรงงาน…ทุนจำเป็นต้องทำให้ราคาของแรงงานต่ำพอที่จะป้องกันไม่ให้ชนชั้นแรงงานสามารถเก็บรักษารายได้ของตนให้มากพอที่จะซื้อหาทรัพย์สินเป็นของตนเอง หากแรงงานสามารถครอบครองทรัพย์สินได้
พวกเขาก็สามารถหยุดขายแรงงานของตนให้นายทุนได้เช่นกัน ซึ่งหมายความว่าทุนนิยมไม่อาจดำรงอยู่ได้ภายใต้ตลาดเสรีอย่างแท้จริง
สิ่งนี้เป็นจริงเป็นอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐกิจเครือข่ายแบบร่วมผลิต หรือ “เพียร์ทูเพียร์” (networked, p2p economy)
ภายในเศรษฐกิจแบบเครือข่าย ทุนนิยมต้องพึ่งพารัฐในการบังคับควบคุม โดยเฉพาะการควบคุมความสัมพันธ์ผ่านช่องทางที่ได้รับอนุญาต และด้วยวิธีนี้จึงสามารถดึงคุณค่าที่มิฉะนั้นแล้วจะยังคงอยู่ในมือของผู้ผลิตออกมาได้ จุดควบคุมต่างๆ ถูกสอดแทรกเข้าไปในโครงข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมตามธรรมชาติ…
ความสามารถของรัฐในการมอบกรรมสิทธิ์และอภิสิทธิ์ตั้งอยู่บนความสามารถในการบังคับใช้ข้อได้เปรียบเหล่านี้ ผ่านการผูกขาดการใช้ความรุนแรงที่ถือว่าชอบธรรม
ผมไม่ได้กำลังบอกว่าไคลเนอร์เป็นพวกต่อต้านการแลกเปลี่ยนอะไรทำนองนั้น เช่นเดียวกับเดวิด เกรเบอร์ เขาเปิดใจรับความเป็นไปได้ที่การแลกเปลี่ยนและตลาดบางประเภทจะมีอยู่ในฐานะองค์ประกอบหนึ่งของระบบเศรษฐกิจหลังรัฐ/หลังทุนนิยม แต่ก็เหมือนกับเกรเบอร์ เขาสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าตลาดในยุคหลังรัฐและหลังทุนนิยมดังกล่าวจะไม่ละม้ายคล้ายคลึงกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งถูกครอบงำโดยการผลิตสินค้าและการไกล่เกลี่ยผ่านสายสัมพันธ์กับเงินตรา
หากผู้ผลิต “ได้รับการปลดปล่อย” จากการบีบบังคับของนายทุนผู้แสวงกำไร พวกเขาก็จะผลิตเพื่อคุณค่าทางสังคม มิใช่เพื่อกำไร เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว..ไม่ได้หมายความว่าสังคมเสรีจะปราศจากการแข่งขันหรือปราศจากการที่สมาชิกจะแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานของตนเอง
ความจริงแล้ว การแบ่งงานกันทำที่จำเป็นในสังคมที่ซับซ้อนย่อมทำให้การแลกเปลี่ยนและการตอบแทนซึ่งกันและกันกลายเป็นสิ่งจำเป็น อย่างไรก็ดี อุปมาเรื่อง “ตลาด” ในความหมายปัจจุบันจะไม่อาจใช้การได้อีกต่อไป
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ไคลเนอร์เหมือนจะเสนอว่า กิจกรรมการผลิตและการจัดสรรส่วนใหญ่ในระดับย่อยๆ ที่แยกจากกันเป็นหน่วยๆ จะถูกกำกับด้วยหลักแห่งการผลิตทางสังคมเพื่อการใช้งาน (social production for use) ส่วนการแลกเปลี่ยนจะเกิดขึ้นในระดับที่สูงกว่า
โดยนิยามแล้ว “เศรษฐกิจแบบตลาด” ก็คือเศรษฐกิจสอดแนม (surveillance economy) ที่ซึ่งการมีส่วนร่วมทั้งในการผลิตและการบริโภคจำเป็นต้องถูกวัดในรายละเอียดปลีกย่อย มันคือเศรษฐกิจของนักบัญชีและยามรักษาความปลอดภัย การบัญชีของการแลกเปลี่ยนคุณค่าในรูปแบบรายการเล็กๆ และจำกัด ที่มีการตั้งราคาแยกเป็นรายธุรกรรม ต้องถูกแทนที่ด้วยรูปแบบการแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นและครอบคลุมกว่านั้น
สิ่งนี้บ่งชี้ว่าการผลิตส่วนใหญ่เพื่อตอบสนองการบริโภคในชีวิตประจำวันจะเกิดขึ้นภายในหน่วยสังคมปฐมภูมิ
ในฐานะส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวัน และการแลกเปลี่ยนจะประกอบไปด้วยสิ่งที่บาคูนินเคยจินตนาการไว้
นั่นคือ การกระจายปัจจัยการผลิตขั้นพื้นฐานไปทั่วพื้นที่กว้าง หรือการแลกเปลี่ยนผลผลิตส่วนเกินระหว่างหน่วยสังคมปฐมภูมิ
ไคลเนอร์มองว่า เทคโนโลยีการสื่อสารแบบเครือข่ายและการผลิตแบบเพียร์ทูเพียร์ (peer production) คือหนทางในการ “ต่อต้านและหลีกเลี่ยงความรุนแรง” ที่เป็นผลสืบเนื่องจากลำดับชั้นต่ำสูงที่มีอยู่เดิม ตลอดจนอภิสิทธิ์ที่ถูกบังคับใช้ในสังคม “ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างชุมชนข้ามชาติและข้ามถิ่นที่ตั้ง (transnational, trans-local communities) จะดำเนินไปภายในพื้นที่นอกดินแดน (extra-territorial space) ซึ่งการครอบครองกรรมสิทธิ์และอภิสิทธิ์อาจถูกแทนที่ด้วยความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์ร่วมกัน (mutual interest) และการเจรจา”
แม้แต่ความมั่งคั่งที่สะสมมาจากศตวรรษแห่งการเอารัดเอาเปรียบก็ไม่อาจช่วยเหลือชนชั้นนำทางเศรษฐกิจได้ หากพวกเขาไม่สามารถยึดกุมความมั่งคั่งในปัจจุบันต่อไปได้ เพราะคุณค่าของอนาคตมีมากกว่าคุณค่าของอดีตอย่างมหาศาล…วิธีการใหม่ๆ ที่เราสามารถทำงานร่วมกันและแบ่งปันข้ามพรมแดนประเทศต่างๆ มีศักยภาพที่จะท้าทายระเบียบทุนนิยม และนำไปสู่การก่อร่างสร้างสังคมใหม่
เขายังมองด้วยว่า เทคโนโลยีแห่งการปลดปล่อยเหล่านี้เป็นรากฐานของวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจแบบร่วมผลิต
ในฐานะรูปแบบการผลิตก่อนทุนนิยมแบบสมัยใหม่และไฮเทคที่ตั้งอยู่บนทรัพยากรร่วมดูแล (commons)
วิถีการผลิตที่ใช้โครงสร้างคล้ายเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ (peer-to-peer networks) มีความสัมพันธ์ที่ทำให้นึกถึงวิถีการเลี้ยงสัตว์แบบร่วมดูแลในอดีต (pastoral commons) นึกถึงที่ดินซึ่งเคยถูกร่วมใช้ร่วมดูแลเพื่อเลี้ยงปศุสัตว์และถูกควบคุมด้วยสิทธิ์ดั้งเดิมที่มีมาก่อนกฎหมายและรัฐสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรร่วมดูแลสมัยใหม่ไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่เพียงแห่งเดียว หากแต่ขยายตัวครอบคลุมทั่วทั้งโลก มอบความหวังแก่สังคมว่าจะมีทางออกจากการแบ่งชนชั้นของทุนนิยม ด้วยการบ่อนทำลายตรรกะแห่งการควบคุมและการสกัดคุณค่าของมัน
เครือข่ายแบบเพียร์ เช่น อินเทอร์เน็ต รวมทั้งปัจจัยการผลิตทั้งที่เป็นวัตถุและไม่เป็นวัตถุซึ่งทำให้มันดำเนินการต่อไปได้ ล้วนทำหน้าที่เป็นทุนร่วม (common stock) ที่ผู้คนจำนวนมากสามารถใช้ได้อย่างอิสระ ซอฟต์แวร์เสรี ซึ่งการผลิตและการกระจายตัวของมันมักขึ้นอยู่กับเครือข่ายเพียร์ ก็คือทุนร่วมที่ทุกคนเข้าถึงได้…ระบบขนส่งมวลชนและการบูรณาการระหว่างประเทศได้ก่อรูปชุมชนแบบกระจายศูนย์ (distributed communities) ซึ่งยังคงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบไม่เป็นทางการข้ามพรมแดน
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของความสัมพันธ์เชิงการผลิตรูปแบบใหม่ที่ก้าวข้ามความสัมพันธ์บนฐานกรรมสิทธิ์ในปัจจุบัน และชี้ให้เห็นศักยภาพของหนทางในอนาคต พัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสาร โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของเครือข่ายเพียร์อย่างอินเทอร์เน็ต รวมถึงการคมนาคมระหว่างประเทศและการย้ายถิ่น
ได้สร้างความเป็นไปได้เชิงปฏิวัติในวงกว้าง ขณะที่ชุมชนที่กระจายตัวสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้ในระดับโลกอย่างฉับพลันทันที
แต่ไคลเนอร์เตือนไว้ว่า การผลิตแบบเพียร์และการแบ่งปันสินค้าสารสนเทศอย่างเสรี รวมถึงแม้กระทั่งการออกแบบสินค้ากายภาพ จะไม่เพียงพอต่อการปลดปล่อยผู้ผลิตออกจากการสกัดค่าเช่า (rent extraction)
หากปัจจัยการผลิตและปัจจัยยังชีพทางกายภาพยังคงกระจุกตัวอยู่ในมือของชนชั้นผู้ถือค่าเช่า (rentiers) เพียงไม่กี่คน ผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนที่ประหยัดลงจากซอฟต์แวร์เสรีแบบเปิดและการออกแบบอุตสาหกรรมแบบเปิด
จะถูกช่วงชิงไปเป็นค่าเช่าโดยเจ้าของปัจจัยการผลิตทางกายภาพ ในลักษณะเดียวกับที่เจ้าที่ดินตามแนวคิดของ
ริคาร์โดเคยช่วงชิงผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากการผลิตเชิงอุตสาหกรรม
เขาจึงเสนอ “คอมมูนร่วมลงทุน” (venture communism) เป็นแนวทางในการจัดระเบียบฐานทางวัตถุของชีวิต รวมถึงวัตถุเพื่อชุมชนผู้ผลิตแบบเพียร์
[มันคือ]โครงสร้างที่ช่วยให้ผู้ผลิตอิสระสามารถใช้ทุนการผลิตร่วม (common stock of productive assets) ทำให้รูปแบบการผลิตที่แต่เดิมเชื่อมโยงอยู่เพียงกับการสร้างคุณค่าที่ไม่เป็นวัตถุ (immaterial value) ถูกขยายไปสู่มิติทางวัตถุได้
เช่นเดียวกับที่ระบบลิขซ้าย (copyleft) และสัญญาอนุญาตข้อมูลเสรีรูปแบบอื่นๆ ที่พลิกเอาลิขสิทธิ์มาใช้ต่อต้านตัวลิขสิทธิ์เอง คอมมูนร่วมลงทุนใช้รูปแบบของบริษัทเป็นพาหนะในการอ้างสิทธิ์ควบคุมทุนการผลิต คอมมูนนี้ถูกจัดตั้งขึ้นทางกฎหมายให้เป็นบริษัท แต่มีลักษณะเฉพาะที่เปลี่ยนให้มันกลายเป็นพาหนะที่มีประสิทธิภาพสำหรับการต่อสู้เชิงปฏิวัติของชนชั้นแรงงาน
คอมมูนร่วมลงทุนถือครองกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์เพื่อการผลิตทั้งหมดที่ประกอบเป็นทุนร่วม ซึ่งถูกใช้งานโดยเครือข่ายที่หลากหลายและกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของผู้ผลิตแบบเพียร์ที่ทำงานร่วมกันในลักษณะรวมหมู่และที่เป็นอิสระ คอมมูนร่วมลงทุนมิได้ทำหน้าที่ประสานการผลิตโดยตรง ชุมชนผู้ผลิตแบบเพียร์ยังคงผลิตตามความต้องการและความปรารถนาของตน บทบาทของคอมมูนคือการจัดการทุนร่วมเท่านั้น ทำให้ทรัพย์สิน เช่น ที่อยู่อาศัยและเครื่องมือที่จำเป็น พร้อมใช้งานสำหรับผู้ผลิตแบบเพียร์
คอมมูนร่วมลงทุนคือสหพันธ์ของกลุ่มแรงงานรวมหมู่ (workers’ collectives) และแรงงานรายบุคคล สมาชิกแต่ละคนจะเป็นเจ้าของคอมมูนโดยถือหุ้นเพียงคนละหนึ่งหุ้น ในกรณีที่แรงงานทำงานอยู่ในกลุ่มหรือสหกรณ์ กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของแต่ละบุคคลที่ประกอบขึ้นเป็นกลุ่มหรือสหกรณ์นั้นๆ…ทรัพย์สินจึงถูกถือครองร่วมกันเสมอโดยสมาชิกทั้งหมดของคอมมูน คอมมูนร่วมลงทุนเป็นของสมาชิกทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน…
ในฐานะแพลตฟอร์มสนับสนุนกลุ่มแรงงานที่บริหารจัดการตนเอง (self-managed collectives) คอมมูนร่วมลงทุนจึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของแบบจำลองทางเศรษฐกิจในหมวดหมู่ที่กว้างกว่าซึ่งถูกจัดระเบียบบนสถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์ (modular architecture)
คอมมูนร่วมลงทุนมิได้ถูกจำกัดอยู่กับสถานที่ทางกายภาพเพียงแห่งเดียวที่อาจทำให้ถูกโดดเดี่ยวและกักขังได้ โครงการเทเลคอมมูนีสเทน (Telekommunisten) ตั้งใจจะเป็นองค์กรแบบกระจายศูนย์เหมือนกับโครงสร้างเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ โดยอาศัยการประสานงานเพียงเล็กน้อยระหว่างชุมชนผู้ผลิต-เจ้าของระดับนานาชาติ
แม้จะมีแบบจำลองเศรษฐกิจแบบเครือข่ายจำนวนมากที่ถูกจัดระเบียบบนฐานของโมดูล-แพลตฟอร์ม แต่หนึ่งในต้นแบบที่โดดเด่นที่สุดคือ “ไฟล์” (phyle) แนวคิดนี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในนิยาย The Diamond Age ของนีล
สตีเฟนสัน ต่อมา เดวิด เดอ อูการ์เต พร้อมด้วยสหายในกลุ่มสหกรณ์ลาส อินเดียส (Las Indias Cooperative Group) ได้นำคำนี้มาใช้เรียกแบบจำลองที่เดอ อูการ์เต อภิปรายไว้ในหนังสือ Phyles: From Nations to Networks (ซึ่งมีตัวอย่างปฏิบัติจริงในไฟล์ลาส อินเดียส และกิจการในเครือ) ร่างบทที่ห้าของต้นฉบับออนไลน์เรื่อง Desktop Regulatory State ของผม สำรวจแพลตฟอร์มเศรษฐกิจเครือข่ายแบบโมดูลาร์แบบลงลึก แบบจำลองไฟล์มีความสอดคล้องเป็นพิเศษกับการอภิปรายของไคลเนอร์ว่าด้วยชุมชนวัฒนธรรมข้ามชาติในฐานะรากฐานขององค์กรเศรษฐกิจแบบเครือข่าย ทั้งไฟล์ในเรื่องแต่งของสตีเฟนสันและแบบจำลองในชีวิตจริงของเดอ อูการ์เต ต่างก็มีพื้นฐานอยู่บนการกระจายตัวทางภาษาในระดับนานาชาติ
ไคลเนอร์เสนอตัวแบบทางการเงินที่คล้ายคลึงกับการบูตสแตรป (bootstrapping) ที่อีเบนีเซอร์ ฮาเวิร์ด เคยจินตนาการไว้ในข้อเสนอเรื่อง Garden City กล่าวคือ ผู้ตั้งถิ่นฐานจะรวบรวมทรัพยากรร่วมกันเพื่อซื้อที่ดินในระยะที่ห่างไกลจากศูนย์กลางชุมชนที่มีอยู่เดิมมากเพียงพอจนที่ดินแทบจะว่างเปล่าและมีราคาถูก จากนั้นจึงจัดหาเงินทุนเพื่อบริการสาธารณะของเทศบาลด้วยการเก็บภาษีจากมูลค่าที่ดินซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
หน้าที่ของคอมมูนร่วมลงทุนคือการได้มาซึ่งสินทรัพย์ทางวัตถุที่สมาชิกจำเป็นต้องใช้เพื่อการดำรงชีวิตและการทำงาน เช่น เครื่องจักรและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ แล้วจัดสรรให้แก่สมาชิก…สมาชิกที่สนใจจะใช้ทรัพย์สินเหล่านี้จะทำสัญญาเช่ากับคอมมูน โดยกำหนดเงื่อนไขที่ต้องการในการครอบครองทรัพย์สินนั้นๆ คอมมูนจะออกพันธบัตร (bonds) เพื่อระดมทุนที่จำเป็นสำหรับการจัดหาทรัพย์สิน และทรัพย์สินนั้นจะถูกใช้เป็นหลักประกันสำหรับผู้ถือพันธบัตร สัญญาเช่าทำหน้าที่เป็นหลักประกันว่ากองทุนจะพร้อมสำหรับการไถ่ถอนพันธบัตร
ค่าเช่าที่เกินกว่าจำนวนที่ต้องใช้ชำระพันธบัตรจะถูกแจกจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่สมาชิกทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งทำให้นึกถึงแบบจำลองภูมิอิสรเสรีนิยม (geolibertarian) ที่ได้รับอิทธิพลจากจอร์จิซึม (Georgism) และทฤษฎีเครดิตสังคม (social credit) ที่ใช้ภาษีจากค่าเช่าทางเศรษฐกิจเพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับบริการสาธารณะ และแจกจ่ายเป็นรายได้พื้นฐานหรือเงินปันผลของพลเมืองให้ทุกคน
แบบจำลองพื้นฐานนี้แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีถึงหลักการอนาธิปไตยในภาพกว้าง ซึ่งสรุปรวบยอดไว้ในคำขวัญของกลุ่มแรงงานอุตสาหกรรมโลก (Wobblies) ที่ว่า “สร้างโครงสร้างของสังคมใหม่ภายในเปลือกของสังคมเก่า” มันเริ่มก่อรูปขึ้นในช่องว่างเล็กๆ ของระบบปัจจุบัน และด้วยการใช้ประโยชน์จากผลิตภาพที่เหนือกว่าของผู้คนเสรีที่ร่วมมือกันโดยสมัครใจ และใช้ศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่โดยไม่ถูกแทรกแซงจากชนชั้นผู้จัดการที่หวาดกลัวต่อความริเริ่มสร้างสรรค์ มันจึงสามารถเติบโตขึ้นจนแทนที่ระบบที่ดำรงอยู่เดิมได้
C4SS relies entirely on donations. If you want to see more translations like this, please consider supporting us. Click here to see how