คริส เมนาร์ด. บทความต้นฉบับ: America’s Fascism Didn’t Start with Donald Trump. 10 กรกฎาคม 2025. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin
หน้าแรกของหนังสือประวัติศาสตร์อเมริกาเปื้อนเลือด บรรทัดแรกบอกเล่าเรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมืองที่อยู่ในทวีปนี้มาแต่เดิม เรื่องราวของการปล้นชิงและลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านั้น ผู้ล่าอาณานิคมไม่ได้เพียงแค่ขโมยผืนดิน แต่ยังขโมยชื่อ วัฒนธรรม และอนาคตของพวกเขาไป การลบล้างนี้วางรากฐานให้กับความโหดร้ายที่ดำเนินต่อมาอีกหลายศตวรรษ
ความเหี้ยมโหดดำเนินต่อไปผ่านระบบทาสที่มนุษย์ถูกถือครองเป็นทรัพย์สิน (chattel slavery) การบังคับใช้แรงงาน และการกดขี่ที่กลายเป็นรากฐานแห่งความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา พลิกไปอีกไม่กี่หน้า เราจะพบค่ายกักกันคนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น การแบ่งเขตสี (redlining) ที่กีดกันชุมชนคนผิวดำ การบดขยี้ขบวนการแรงงาน และการขยายตัวอย่างไม่หยุดหย่อนของรัฐความมั่นคงที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา เรื่องราวของจักรวรรดิอเมริกันไม่ใช่เรื่องของชาติที่อยู่ดีๆ ก็ถูกคุกคามโดยระบอบอำนาจนิยม ความฝันแบบอเมริกันนั้นพึ่งพาความรุนแรง การกีดกัน และการควบคุมมาตั้งแต่ต้น
ลัทธิฟาสซิสม์ในอเมริกาไม่ได้เสด็จลงมาจากบันไดเลื่อนทองคำ รู้ ถ้าคุณไม่ปอดแหกเกินไป ลองเปิดหนังสือประวัติศาสตร์อ่านนิดเดียวก็จะรู้ ชาติอเมริกันแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยเลือด การปล้นชิง และการก่อการร้ายโดยรัฐ ความพิเศษไม่เหมือนใครแบบอเมริกัน (American exceptionalism) ถือกำเนิดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กระทำโดยเหล่าผู้ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาผู้สร้างชาติ และสืบทอดโดยชนรุ่นหลังผ่านคลื่นแห่งการทำลายล้างที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความตั้งใจ เหตุการณ์สังหารหมู่อย่าง Mystic, Sand Creek และ Sullivan Expedition ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดดๆ แต่คือนโยบายของรัฐบาล จอร์จ วอชิงตัน ผู้ถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษ เคยสั่งทำลายหมู่บ้านของชาวอิระควอยส์ (Iroquois) เผาผลาญพืชผลและบ้านเรือน ปล่อยให้ผู้คนทั้งชุมชนอดอยากและหนาวตาย
สหรัฐฯ ไม่ได้ใช้แค่กระสุนและดาบปลายปืน รัฐอเมริกาใช้อาวุธทุกชนิดที่มี ทั้งการบังคับอพยพ การกักขังในคุกกลางแจ้ง การใช้โรคระบาดและความอดอยากเป็นอาวุธ และการทำลายวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบผ่านโรงเรียนประจำและการบังคับกลืนกลาย ข้อความที่ส่งออกมาชัดเจนยิ่ง “จงยอมจำนน หรือไม่ก็จงตาย” ถ้านี่ไม่ใช่ฟาสซิสม์ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร
ว่ากันว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คือบาปกำเนิดของอเมริกา ขณะที่ระบบทาสคือโมเดลทางธุรกิจของประเทศแห่งนี้ ตลอดหลายศตวรรษ เศรษฐกิจอเมริกันขับเคลื่อนด้วยแรงงานทาสที่ถูกซื้อขาย ทารุณ และปฏิบัติเสมือนทรัพย์สิน โศกนาฏกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแม้จะมีรัฐ แต่เกิดขึ้นเพราะรัฐเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา กฎหมายกำหนดให้มนุษย์เป็นทรัพย์สิน ริบความเป็นคน และเปิดทางให้ระบอบแห่งความหวาดกลัวคอยควบคุมผู้คนไว้ไม่ให้แตกแถว
ทุกสถาบันในสังคมนี้ล้วนมีส่วนร่วม สภาคองเกรสออกกฎหมายจับทาสหลบหนีที่เปลี่ยนคนผิวขาวทั้งประเทศให้กลายเป็นนักล่าค่าหัว กองลาดตระเวนทาสผู้เป็นบรรพบุรุษของกองตำรวจสมัยใหม่เดินเพ่นพ่านในชนบท ได้รับอนุญาตให้ทุบตีหรือฆ่าคนได้ตามอำเภอใจ หากทาสลุกฮือ พวกเขาจะถูกประหารต่อหน้าสาธารณชน และตามมาด้วยการลงโทษเป็นหมู่คณะ การเลิกทาสไม่ได้ยุติยุคแห่งความหวาดกลัว กฎหมายจิม โครว์ กลุ่มม็อบแขวนคอคนผิวดำ และระบบแรงงานโซ่ตรวน ยังคงรักษาอำนาจสูงสุดของคนขาวไว้ราวกับเป็นกฎหมายของแผ่นดินทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก
ความกระหายในการกดขี่ของรัฐไม่ได้หยุดอยู่แค่กับชนพื้นเมืองหรือชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ใครก็ตามที่เป็นภัยต่อระเบียบที่ถูกสถาปนาไว้ไม่ว่าจะเป็นนักคิดราดิคัล ผู้ย้ายถิ่น หรือคนทำงาน ต่างก็ตกเป็นเป้าหมายด้วยกันทั้งสิ้น เครื่องจักรแห่งการสอดแนมและปราบปรามเริ่มทำงานมานานก่อนจะมี NSA หรือกฎหมาย Patriot Act เสียอีก ในยุคตื่นภัยคอมมิวนิสต์ (Red Scare) รัฐบาลทำสงครามกับฝ่ายซ้ายและผู้จัดตั้งแรงงาน ต่อมาอีกหลายทศวรรษ โครงการ COINTELPRO ของเอฟบีไอเปิดฉากสงครามลับๆ กับขบวนการปลดปล่อยคนผิวดำ กลุ่มต่อต้านสงคราม และฝ่ายสังคมนิยม ข้อความที่ส่งออกมาชัดเจนเสมอ ออกนอกแถวเมื่อไร กลไกความมั่นคงทั้งหมดจะบดขยี้คุณให้สิ้นซาก
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่อดีตโบราณกาล ความรุนแรงที่ถูกทำให้ถูกกฎหมาย การจับกุมคุมขังครั้งมโหฬาร การสอดแนมประชาชน และการทำให้การเห็นต่างกลายเป็นอาชญากรรม ทั้งหมดนี้คือกระดูกสันหลังของรัฐอเมริกัน ความสามารถในการกดปราบยิ่งพัฒนาให้ซับซ้อนและครอบคลุมขึ้นเรื่อยๆ และแล้ว โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ก็ปรากฏตัว ฝ่ายเสรีนิยมและกลุ่ม “Blue MAGA” พากันกล่าวหาว่าทรัมป์เป็นประธานาธิบดีนอกคอกที่บิดเบือนระบบ แต่ในความเป็นจริง ทรัมป์คือผลผลิตที่แท้จริงที่สุดของระบบนั้นเอง หากลอกเปลือกนอกและความกร่างเคลือบทองออกไป คุณจะเห็นคนคนหนึ่งที่ใช้เครื่องมือชุดเดิมที่รัฐอเมริกันยึดถือมาโดยตลอด นั่นคือการปราบปราม การหาแพะรับบาป และความกระหายอำนาจฝ่ายบริหารอย่างบ้าคลั่ง ลัทธิอำนาจนิยมแบบประชานิยมของทรัมป์ไม่ใช่การแตกหักจากธรรมเนียมแบบอเมริกัน ทว่ามันคือการเร่งเครื่องธรรมเนียมแบบอเมริกันตามแนวทางที่ถูกเขียนไว้ล่วงหน้านานแล้วก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นสู่อำนาจ
ตั้งแต่ทรัมป์เริ่มหาเสียง เขาได้ขุดเอาความคับแค้นฝังลึกของอเมริกาออกมาใช้งาน เขาปลุกปั่นความรุนแรง สร้างผู้อพยพให้กลายเป็นปีศาจ และให้คำมั่นว่าจะใช้พลังของรัฐจัดการศัตรูไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ร้อยวันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคือบทเรียนระดับปรมาจารย์ว่าด้วยความโหดร้ายและความโกลาหล ทั้งจากการเนรเทศครั้งใหญ่ การพรากเด็กออกจากครอบครัว การปราบปรามผู้ประท้วง และการดูหมิ่นหลักนิติธรรมอย่างเปิดเผย ทว่าเครื่องมือเหล่านี้ถูกหล่อหลอมขึ้นจากการสนับสนุนของทั้งสองพรรคมานานหลายทศวรรษ จากการสร้างให้ตำแหน่งประธานาธิบดีมีอำนาจเหนือใคร จากพรมแดนที่ถูกทำให้เป็นพื้นที่ทางการทหาร จากรัฐแห่งการสอดแนม และจากการใช้อำนาจบริหารเกินขอบเขตที่ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ ทรัมป์เพียงแค่เลิกเสแสร้งเท่านั้นเอง
หากฟังฝ่าย “ต่อต้าน” คุณอาจคิดว่าอเมริกากำลังต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อจิตวิญญาณของตนเอง แต่หากมองให้ลึกไปกว่าบทพูดในรายการทอล์กโชว์ แฮชแท็ก และจดหมายแถลงการณ์อันแข็งกร้าว คุณจะพบว่าชนชั้นนำเสรีนิยมแทบไม่ได้เป็นกำแพงต้านลัทธิฟาสซิสม์ หากแต่กลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้มันดูเป็นเรื่องปกติเสียมากกว่า พรรคเดโมแครตและสื่อพันธมิตรเชี่ยวชาญในการสร้างความเดือดดาลเชิงสัญลักษณ์ พวกเขาใส่หมวกสีชมพู ใช้คำพูดแรงๆ เน้นไวรัล และส่งอีเมลระดมทุนที่สัญญาจะ “ลุกขึ้นสู้” ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ฝ่ายต่อต้านได้ขัดเกลาการเมืองแบบเลือกสิ่งชั่วร้ายที่น้อยกว่า (the politics of the lesser evil) โดยขอให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเลือกระหว่างความโหดร้ายแบบเปิดเผย (open cruelty) กับความรุนแรงที่ถูกห่อหุ้มด้วยมารยาท (more polished brand of polite violence)
ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง หน้าต่างโอเวอร์ตัน (Overton window – หรือขอบเขตของสิ่งที่สังคมมองว่ายอมรับได้ทางการเมือง) ถูกลากถอยออกไปทางขวามากขึ้นเรื่อยๆ เฉดทางการเมืองที่ “ยอมรับได้” หดแคบลงจนฝ่ายซ้ายหัวก้าวหน้ากลายเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานให้ลูกหลานฟัง ความคิดเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขถ้วนหน้า ค่าแรงที่เลี้ยงชีพได้ หรือการยกเลิกตำรวจ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวใจของการรณรงค์ทางการเมืองที่มีชีวิตชีวา กลับถูกมองว่าเพ้อฝัน หรือแย่กว่านั้นคือถูกตราหน้าว่าเป็นแผนการของพวกรัสเซีย แนวคิดเรื่องการต่อต้านของฝ่ายเสรีนิยมหมายถึงการ “กลับสู่ภาวะปกติ” (normalcy) ซึ่งสำหรับผู้คนนับล้าน หมายถึงการทนทุกข์ด้วยเรื่องเดิมๆ ที่ห่อหุ้มใหม่ด้วยริบบิ้นสีน้ำเงิน ฝ่ายขวาสุดโต่งยิ่งกล้าหาญขึ้นในขณะที่ฝ่ายซ้ายยิ่งอ่อนแรงลง และขีดความสามารถของรัฐในการใช้ความรุนแรงโดยไร้การตรวจสอบยังคงหาตัวจับยาก กลอุบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชนชั้นนำเสรีนิยม คือการทำให้สาธารณชนเชื่อว่าการลงคะแนนให้กับ “สิ่งที่ชั่วร้ายน้อยกว่า” คือจุดสูงสุดของการมีส่วนร่วมทางการเมือง แต่จักรวรรดิอเมริกันยังคงเดินหน้าต่อไป ไม่หวั่นไหวต่อแฮชแท็กหรือความหวัง
หากเราจะเรียนรู้อะไรจากทศวรรษที่ผ่านมาได้บ้าง สิ่งนั้นก็คือการยอมรับว่า “การลงคะแนนให้พรรคสีน้ำเงินไม่ว่าผู้สมัครจะเป็นใคร” (voting blue no matter who) ไม่ใช่การต่อต้านที่แท้จริง ความคิดว่ารัฐจะปฏิรูปตัวเองจนหมดอำนาจคือภาพฝันโดยแท้ ระบบนี้ไม่อาจซ่อมแซมจากภายในตราบที่คนข้างในเป็นผู้เขียนกติกา ถ้าใครยังเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะมีชนชั้นปกครองที่มีเมตตากว่านี้หวนกลับมาล้มล้างศตวรรษแห่งการกดขี่นี้ลงได้ ถึงเวลาแล้วที่จะตื่นเสียที
นักอนาธิปไตยรู้มาโดยตลอดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใครครองอำนาจ แต่อยู่ที่ตัวอำนาจ รวมถึงกลไกแห่งการครอบงำอันมหึมาที่รายล้อมมันอยู่ต่างหาก การต่อต้านอย่างแท้จริงหมายถึงการปฏิเสธรัฐและกฎเกณฑ์อันแข็งทื่อที่รัฐบังคับใช้ ทั้งที่ตัวมันเองกลับละเมิดกฎเหล่านี้เองอยู่เสมอ มันหมายถึงเครือข่ายการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (mutual aid) ที่จัดหาอาหารและที่พักให้ผู้คนซึ่งถูกทุกพรรคทอดทิ้ง คือการปฏิบัติการซึ่งหน้าเพื่อขัดขวางท่อส่งน้ำมัน ขับไล่หน่วย ICE และหยุดยั้งการเนรเทศผู้อพยพ เหนือสิ่งอื่นใด มันคือการปฏิเสธเงื่อนไขอันจำกัดจำเขี่ยของการเลือก “สิ่งที่ชั่วร้ายน้อยกว่า” เพราะระบบนี้ไม่มีวันช่วยให้เรารอด มีแต่พวกเราด้วยกันเองเท่านั้นที่ทำได้
ดังนั้น ครั้งหน้าที่คุณเห็นผู้สนับสนุน “Blue MAGA” ออกมาเตือนว่าทรัมป์กำลังเปลี่ยนอเมริกาให้กลายเป็นเยอรมนีภายใต้พรรคนาซี จงจำไว้ว่าอเมริกาฝึกฝนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนชำนาญก่อนที่นาซีจะถือกำเนิดเสียอีก การกำจัดทรัมป์ไม่อาจแก้ปัญหาใดๆ ได้ หากรัฐยังดำรงอยู่ดังเดิม
C4SS relies entirely on donations. If you want to see more translations like this, please consider supporting us. Click here to see how






