ความจริงของมายาคติของอิสรเสรีนิยมฝ่ายขวา

โดย เควิน คาร์สัน
เควิน คาร์สัน. บทความต้นฉบับ: A Right-Libertarian Myth Meets Reality. 3 มีนาคม 2025. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin

ตามการตีความของไมเคิล โรเบิร์ตส์ รายงานที่เสนอต่อสหภาพยุโรปในเดือนกันยายนที่ผ่านมา นำไปสู่การตั้งคำถามครั้งใหญ่เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการลงทุนของกลุ่มก้อนการเมืองสายอิสรเสรีนิยมฝ่ายขวา

จุดยืนหลักของกลุ่มอิสรเสรีนิยมฝ่ายขวา คือการมองว่าแรงงานต้องพึ่งพิงการลงทุน การลงทุนไม่ว่าจะในรูปของเครดิตหรือตราสารทุนล้วนแต่มีที่มาจากการสั่งสมทุนในอดีต ส่วนกำไรและดอกเบี้ยก็คือผลตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุน เป็นผลตอบแทนจากการที่นายทุนงดเว้นจากการใช้เงินก้อนนั้น เป็นผลิตภาพส่วนเพิ่มของทุน หรือเป็นอะไรบางอย่างที่ปรับเปลี่ยนไปจากแนวคิดเหล่านี้เล็กๆ น้อยๆ

สองร้อยกว่าปีที่แล้ว โธมัส ฮอดจ์สกิน นักเศรษฐศาสตร์การเมืองชาวอังกฤษ ผู้เป็นทั้งนักเสรีนิยมสายคลาสสิกและนักสังคมนิยมในยุคต้นๆ เขียนไว้หนังสือเรื่อง The Natural and Artificial Right of Property Contrasted ว่า เมื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ ณ ที่ดินผืนนั้น (absentee land ownership) ที่ดินที่สร้างผลิตผลได้เพียงพอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของครอบครัวหนึ่งๆ จึงไม่ถูกใช้งาน เว้นแต่เมื่อมันสามารถสร้างผลิตผลเพียงพอที่จะจ่ายเป็นค่าเช่าให้กับเจ้าของที่ดินด้วยเท่านั้น ทำนองเดียวกัน เขาเขียนไว้ใน Popular Political Economy ว่า “มีผู้กล่าวอ้าง…ว่ากำลังแรงงานไม่ก่อให้เกิดผลผลิต และที่จริงแล้วแรงงานจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานเลย เว้นแต่ว่าเมื่อแรงงานของเขาไม่เพียงชดเชยสิ่งที่เขาใช้หรือบริโภคไปและเลี้ยงดูตนเองให้สุขสบายได้ แต่ยังต้องสร้างกำไรให้กับนายทุนได้ด้วย…”

เอกสารของสหภาพยุโรปดูเหมือนจะสนับสนุนหลักการดังกล่าว รายงานฉบับนี้ (ชื่อว่า “อนาคตของความสามารถในการแข่งขันของยุโรป”) จัดทำโดย มาริโอ ดรากี อดีตนายธนาคารของโกลด์แมน แซคส์, อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอิตาลี, อดีตประธานธนาคารกลางยุโรป และอดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ตามคำร้องขอของคณะกรรมาธิการยุโรป และเผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน

รายงานชิ้นนี้พบว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรปที่ลดลง ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในการเพิ่มผลิตภาพ และการเติบโตของผลิตภาพที่ต่ำก็ “มีสาเหตุหลักมาจากระดับการลงทุนที่ต่ำในภาคเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดผลผลิตโดยตรง โดยเฉพาะในเทคโนโลยีใหม่ๆ ช่องว่างของสัดส่วนการลงทุนที่ก่อให้เกิดผลผลิตต่อ GDP ระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรป อยู่ที่ราว 1.5% ของ GDP ต่อปี” การลงทุนที่ต่ำนี้เกิดจาก “อัตราผลตอบแทนของทุนในยุโรปที่ต่ำกว่าสหรัฐฯ” ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากต้นทุนของการจัดหาเงินทุนภาคเอกชนที่สูงกว่านั่นเอง และเนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่ต่ำนี้ การลงทุนจึงไม่สามารถให้ “ผลตอบแทนที่ภาคทุนในยุโรปต้องการเพื่อนำไปเพิ่มการลงทุนที่ก่อให้เกิดผลผลิตได้ ต่างจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ทางการเงิน” (เน้นโดยผู้เขียน)

โรเบิร์ตส์ตั้งข้อสังเกตว่า “ทางออกของดรากีก็คือการสนับสนุนภาคธุรกิจแบบเดิมๆ นั่นเอง กล่าวคือ รัฐบาลจะต้องออกมาตรการจูงใจทางการเงินและการคลังเพื่อ ‘กระตุ้น’ ให้นายทุนยอมลงทุน” การลดต้นทุนการจัดหาเงินทุนภาคเอกชน เช่น ผ่านโครงการสหภาพตลาดทุน (Capital Markets Union) เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ “แรงจูงใจทางการคลังที่สามารถปลดล็อกการลงทุนจากภาคเอกชน” ควบคู่ไปกับ การลงทุนโดยตรงจากภาครัฐ

ดังนั้นรัฐบาลของประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปจึงจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณสาธารณะเพิ่มเติม แต่ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นตามมา เพราะรัฐบาลของหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปกลางและตะวันตก มีแรงกดดันอย่างมากที่จะต้อง “รักษาสมดุลงบประมาณ” ไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ และไม่ขึ้นภาษีมากเกินไป ทั้งยังติดข้อจำกัดของกฎระเบียบทางการคลังของสหภาพยุโรปที่ “ฝ่าฝืนไม่ได้”

ดรากีเสนอให้มีการ “กู้ยืมร่วมกัน” (joint borrowing) มากขึ้น กล่าวคือให้สหภาพยุโรปออกพันธบัตรที่สหภาพยุโรปเป็นผู้ค้ำประกัน (EU-backed debt) เพื่อนำไปใช้ในโครงการต่างๆ แต่แนวคิดนี้ยังคงเป็นเรื่องต้องห้ามในสหภาพยุโรปเอง…

ดรากียังเสนอให้เพิ่มภาษีในระดับสหภาพยุโรป เพื่อเพิ่มขนาดของคณะกรรมาธิการยุโรปซึ่งในปัจจุบันมีขนาดเล็กและมุ่งเน้นการใช้จ่ายในด้าน “การสร้างความเป็นปึกแผ่นทางสังคม” (social cohesion) การให้เงินอุดหนุนระดับภูมิภาคและภาคเกษตรกรรม มากกว่าจะใช้งบประมาณเพื่อ “การลงทุนที่ก่อให้เกิดผลผลิตโดยตรง” ดรากีต้องการปรับลดงบประมาณสาธารณะในด้านเหล่านี้ แล้วโยกย้ายเงินไปลงทุนในเทคโนโลยีแทน

รายงานฉบับนี้ยังมีกราฟที่แสดงให้เห็นว่า งบประมาณวิจัยและพัฒนา (R&D) ของสหภาพยุโรปมีขนาดมากกว่าของรัฐบาลกลางสหรัฐถึงระดับหลักสิบเท่า

โดยสรุปก็คือ ผู้ที่ถือครองความมั่งคั่งในระบบทุนนิยมจะไม่ยอมใช้ทรัพยากรของตนไปกับการเพิ่มการผลิตที่แท้จริง หากอัตรากำไรยังไม่สูงพอ พวกเขาจะนำเงินไปลงในเศรษฐกิจฟองสบู่ที่เน้นการเก็งกำไร เช่น การเงิน ประกันภัย และอสังหาริมทรัพย์ (ที่เรียกรวมกันว่า FIRE economy) ซึ่งเป็นพฤติกรรมเดียวกับที่เจ้าของที่ดินที่ไม่ได้อาศัย ณ ที่ดินของตน ปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่าเพื่อการเก็งกำไรจนกว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงพอ

สังเกตให้ดี เงินของพวกเขานั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขาไม่ได้ใช้เงินเหล่านั้นสร้างเครื่องจักรผลิตสินค้า กระบวนการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นจากแรงงานมนุษย์ทั้งสิ้น และแม้แต่ทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร วัตถุดิบ หรือของยังชีพที่แรงงานต้องใช้ ต่างก็เป็นผลผลิตของแรงงานมนุษย์ที่นำของขวัญจากธรรมชาติมาแปรรูปทั้งสิ้น

กิจการที่เป็นของแรงงานและบริหารโดยแรงงานเองสามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยแลกเปลี่ยนวัตถุดิบและเครื่องจักรระหว่างกัน พร้อมกับใช้เพียงแค่หน่วยบัญชีที่อิงกับเงินดอลลาร์ เพื่อใช้ติดตามยอดคงเหลือที่เปลี่ยนแปลงไปของแต่ละกิจการและแต่ละบุคคลภายในเครือข่ายเครดิต แต่ระบบนี้กลับเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะข้อกำหนดเกี่ยวกับใบอนุญาตและเงินทุนของธนาคาร ล้วนตั้งอยู่บนมายาคติที่ว่า เครดิตจะถูก “ปล่อยกู้” ได้ก็ต่อเมื่อมีเงินออมจากอดีตมารองรับ ดังนั้น หน้าที่ในการปล่อยกู้จึงกลายเป็นสิทธิผูกขาดทางกฎหมายของผู้ถือครองความมั่งคั่งที่สั่งสมมา ความมั่งคั่งที่สั่งสมมานี้ไม่ใช่อะไรนอกเสียจากกองกระดาษที่ใช้อ้างสิทธิ์ในการจัดสรรทรัพยากร ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นผลผลิตของแรงงานมนุษย์ที่นำของขวัญจากธรรมชาติมาแปรรูปทั้งสิ้น แต่เพราะการอ้างสิทธิ์ในการจัดสรรทรัพยากรนี้เอง ชนชั้นผู้ให้เช่า (rentier classes) จึงได้รับอำนาจให้ผูกขาดการกำหนดทิศทางการใช้ทรัพยากรในสังคมอย่างถูกกฎหมาย

และเพราะระบบนี้ แม้จะมีทักษะ แรงงาน และทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการผลิตพร้อมใช้งานอยู่ครบถ้วน ขาดเพียงแค่เครดิตเพื่อขับเคลื่อนมันเท่านั้น การผูกขาดเครดิตตามกฎหมายกลับเปิดช่องให้กลุ่มชนชั้นนำผู้มั่งคั่งสามารถจับทรัพยากรทั้งหมดไว้เป็นตัวประกัน จนกว่าจะได้รับค่าไถ่หรือผลตอบแทนที่สูงพอ

C4SS relies entirely on donations. If you want to see more translations like this, please consider supporting us. Click here to see how

Anarchy and Democracy
Fighting Fascism
Markets Not Capitalism
The Anatomy of Escape
Organization Theory