เควิน คาร์สัน. บทความต้นฉบับ: Book Review: Pirate Enlightenment, by David Graeber. 13 กุมภาพันธ์ 2025. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin
“นี่คือหนังสือว่าด้วยอาณาจักรของโจรสลัดทั้งที่มีอยู่จริงและที่อยู่ในจินตนาการ” เกรเบอร์เปิดประโยคแรกของหนังสือที่น่าจะเป็นเล่มสุดท้ายของเขาไว้ “และมันยังว่าด้วยเวลาและสถานที่ที่ยากจะแยกแยะได้ว่าอะไรจริงอะไรเป็นเพียงจินตนาการ”
อาณาจักรโจรสลัดลิเบอร์ทาเลีย (Libertalia) ปรากฏครั้งแรกใน A General History of the Pyrates หนังสือปี 1724 โดย “กัปตันจอห์นสัน” (Captain Johnson – ซึ่งเกรเบอร์คาดว่าเป็นนามแฝงของแดเนียล เดโฟ) ลิเบอร์ทาเลียซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งมาดากัสการ์ เป็น “สาธารณรัฐแบบเสมอภาคที่เลิกทาสแล้ว ทุกสิ่งถูกถือครองร่วมกันและบริหารจัดการแบบประชาธิปไตย ก่อตั้งขึ้นโดยกัปตันโจรสลัดเกษียณชาวฝรั่งเศสชื่อมิซซง (Misson) ภายใต้อิทธิพลทางความคิดของอดีตบาทหลวงชาวอิตาเลียนที่ถูกปลดจากตำแหน่ง” ความเข้าใจทั่วไปคือ “จอห์นสัน” แต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเอง
อย่างไรก็ตาม เกรเบอร์เล่าว่ายังมีชุมชนโจรสลัดอื่นๆ บนชายฝั่งมาดากัสการ์ที่จริงๆ แล้วเป็น
พื้นที่ทดลองทางสังคมแบบสุดขั้ว (radical social experiments) โจรสลัดทดลองระบบการปกครองและการจัดการทรัพย์สินรูปแบบใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ยังเกิดขึ้นกับบรรดาสมาชิกชุมชนโดยรอบมาดากัสการ์ซึ่งแต่งงานกับพวกเขา หลายคนเคยอาศัยอยู่ในชุมชนโจรสลัด เดินเรือร่วมกับพวกเขา กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบาน และใช้เวลายาวนานในการถกเถียงกันเรื่องการเมือง
ยูโทเปียโจรสลัดเหล่านี้ ทั้งที่เป็นเรื่องจริงและที่เป็นตำนาน จึงสะท้อนก้องอยู่ในวัฒนธรรมป๊อปของโลกแอตแลนติกอย่างทรงพลัง
ยูโทเปียโจรสลัด ทั้งในฐานะปรากฏการณ์ในโลกจริงและธีมทางวัฒนธรรม มีความสำคัญยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับลัทธิเผด็จการที่ครอบงำวัฒนธรรมทางทะเลของกองทัพเรือและเรือพาณิชย์ที่ได้รับการรับรองว่าถูกกฎหมาย เกรเบอร์เขียนไว้ว่า “วินัยแบบโรงงานยุคใหม่เกิดขึ้นบนเรือและไร่การเกษตร” ดังนั้น ยูโทเปียโจรสลัดจึงเป็นสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญยิ่งไม่เพียงต่อชาวเรือในศตวรรษที่ 18 แต่ยังรวมถึงต่อกรรมาชีพในโรงงานเมืองแมนเชสเตอร์และเบอร์มิงแฮมในยุคต่อมา
ด้วยความที่เรื่องราวเกี่ยวกับยูโทเปียโจรสลัดผสมผสานระหว่างตำนานกับเรื่องจริงจนยากจะขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจนได้ เกรเบอร์จึงเห็นว่าการเริ่มต้นด้วยการไล่เรียงข้อเท็จจริงที่เรารู้แน่ชัดก่อนเป็นเรื่องสำคัญ
เรารู้ว่าโจรสลัดจำนวนมากในศตวรรษที่ 17 ทั้งจากแคริบเบียนและพื้นที่อื่นๆ ตั้งถิ่นฐานตามชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของมาดากัสการ์ และลูกหลานชาวมาลากาซีของคนกลุ่มนี้ (“ซานา-มาลาตา” – Zana-Malata) ยังคงนิยามตนเองอย่างชัดเจนเช่นนี้มาจนถึงทุกวันนี้ เรารู้ว่าการเข้ามาของโจรสลัดก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางสังคมหลายระลอกซึ่งสุดท้ายนำไปสู่การก่อตัวของหน่วยการปกครองในต้นศตวรรษที่ 18 ที่เรียกว่า “สมาพันธรัฐเบตซิมิซารากา” (Betsimisaraka Confederation) เรายังรู้ด้วยว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตในดินแดนที่เคยถูกปกครองโดยสมาพันธรัฐดังกล่าวบริเวณแนวชายฝั่งยาวเกือบเจ็ดร้อยกิโลเมตร ยังคงเรียกตัวเองว่าเบตซิมิซารากา และยังถือเป็นหนึ่งในกลุ่มชนที่ยึดถือความเสมอภาคมากที่สุดในมาดากัสการ์ด้วย เรารู้ว่าบุคคลที่ถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งสมาพันธรัฐดังกล่าวมีชื่อว่า รัตซิมิลาโฮ (Ratsimilaho) รู้ว่าคนยุคนั้นกล่าวกันว่ารัตซิมิลาโฮเป็นลูกชายของโจรสลัดชาวอังกฤษจากชุมชนที่ชื่อ แอมโบนาโวลา (Ambonavola)…และรู้ว่าแอมโบนาโวลาถูกบรรยายไว้ในบันทึกของชาวอังกฤษร่วมสมัยว่าเป็นการทดลองแบบยูโทเปีย (utopia experiment) เป็นความพยายามในการประยุกต์หลักการจัดองค์กรแบบประชาธิปไตยที่พบในเรือโจรสลัดมาใช้กับชุมชนที่ตั้งมั่นบนบก และสุดท้ายเรารู้ว่ารัตซิมิลาโฮได้รับการประกาศให้เป็นกษัตริย์แห่งเบตซิมิซารากาในเมืองแห่งนั้นเอง
นอกเหนือจากนี้ เราไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรจริงหรือไม่จริง เกรเบอร์สันนิษฐานว่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “ความเป็นกษัตริย์” ของรัตซิมิลาโฮส่วนมากน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อจงใจเล่าให้นักสังเกตการณ์จากต่างแดนฟังคล้ายกับวิธีที่เด็กสาวชาวซามัวเคยหลอกมาร์กาเร็ต มีด ไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีใดๆ ที่บ่งชี้ถึงโครงสร้างทางกายภาพหรือรูปแบบการตั้งถิ่นฐานที่เราจะระบุได้ว่าบริเวณนั้นเป็นรัฐที่มีดินแดน (territorial state) ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นอาณาจักร สภาของประชาชน (popular assemblies) กลับดูจะมีความสำคัญมากขึ้นด้วยซ้ำ ขณะที่ชนชั้นนักรบที่มีอำนาจอยู่เดิม (previous warrior aristocracies) ดูเหมือนจะหายไปโดยสิ้นเชิง
เกรเบอร์เน้นย้ำถึงบทบาทของชาวมาลากาซีท้องถิ่นใน “การทดลอง” ครั้งนี้ว่า
ภายใต้ร่มเงาของโจรสลัดและความเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการของกษัตริย์ลูกครึ่งโจรสลัด บรรดาผู้นำตระกูลและนักรบหนุ่มผู้ทะเยอทะยานได้ลงมือทำสิ่งที่ผมคิดว่าเข้าข่ายการทดลองทางการเมืองแบบต้นธารแห่งยุครู้แจ้ง (proto-Enlightenment) เป็นการสังเคราะห์อันสร้างสรรค์ระหว่างรูปแบบการปกครองของโจรสลัดกับองค์ประกอบที่เสมอภาคมากกว่าในวัฒนธรรมการเมืองดั้งเดิมของมาลากาซี สิ่งที่มักถูกเขียนไว้ว่าเป็นความล้มเหลวในการสร้างอาณาจักร แท้จริงแล้วมองได้เหมือนกันว่าเป็นการทดลองอันประสบความสำเร็จแห่งยุครู้แจ้งแบบโจรสลัดที่ขับเคลื่อนโดยชาวมาลากาซีเอง
เกรเบอร์เสนอว่า “การทดลองใช้ประชาธิปไตยแบบสุดขั้วด้วยความตั้งใจ” เหล่านี้เป็น “แรงเคลื่อนไหวแรกเริ่มบางอย่างของความคิดทางการเมืองในยุครู้แจ้ง เป็นการสำรวจแนวคิดและหลักการที่ในที่สุดแล้วจะได้รับการพัฒนาโดยนักปรัชญาการเมือง และถูกนำไปปฏิบัติจริงโดยระบอบปฏิวัติเมื่ออีกศตวรรษถัดมา”
ผลกระทบที่ตำนานยูโทเปียโจรสลัดมีต่อปรัชญาการเมืองกระแสหลักคือประเด็นสำคัญของหนังสือและเป็นประเด็นที่เกรเบอร์เคยเสนอไว้แล้วในหนังสือเล่มอื่น กล่าวคือ ปรัชญาการเมืองตะวันตก เช่น เสรีนิยมและประชาธิปไตย ซึ่งมักถูกอ้างว่าเป็นผลผลิตของความคิดอันล้ำลึกที่บังเกิดขึ้นได้เฉพาะบนยอดเขาแห่งอารยธรรมไม่กี่แห่ง แท้จริงกลับติดหนี้สามัญชนคนธรรมดามาตลอดประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดากลุ่มคนชายขอบอย่างกะลาสีเรือหัวรั้นและชนพื้นเมืองในโลกอาณานิคม ใน The Democracy Project เกรเบอร์ชี้ว่าประชาธิปไตยไม่ใช่แนวคิดสูงส่งที่ต้องรอให้ถูกค้นพบในเอเธนส์ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล หรือฟิลาเดลเฟียในทศวรรษ 1780 แต่เป็นวิถีปฏิบัติธรรมดาของผู้คนเมื่อต้องตัดสินใจร่วมกันมาตั้งแต่ในอดีต ใน The Dawn of Everything เกรเบอร์ยังเสนอด้วยว่าความคิดการเมืองยุครู้แจ้งได้รับอิทธิพลจากความคิดของชนพื้นเมืองอเมริกา หนังสือ Pirate Utopias จึงสอดคล้องกับงานวิชาการว่าด้วยคนไร้รัฐซึ่งเลือกใช้ชีวิตในพื้นที่นอกอำนาจควบคุมของรัฐและระบบการปกครองของรัฐโดยเจตนา โดยมีหมุดหมายสำคัญอยู่ที่งานของเจมส์ ซี. สก็อตต์
ช่วงกลางของหนังสืออุทิศให้กับสองประเด็นหลัก ประเด็นแรกคือการอธิบายประวัติความเป็นมาของชุมชนโจรสลัดในมาดากัสการ์ ประเด็นที่สองคือการอธิบายชาติพันธุ์วิทยา (ethnology) ของสังคมโจรสลัดและชาวมาลากาซี (ซึ่งเกรเบอร์อาศัยข้อมูลจำนวนมากจากวรรณกรรมร่วมสมัย เช่น บันทึกของ “กัปตันจอห์นสัน”) แม้เรือโจรสลัดบางลำจะมีต้นกำเนิดจาก “สลัดหลวงที่แปรพักตร์” (privateers gone rouge) แต่ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการก่อการกบฏของลูกเรือเอง ลูกเรือที่ลุกฮือเพื่อต่อต้านวินัยบนเรืออันโหดร้ายในศตวรรษที่ 17 และ 18 แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปเป็นโจรสลัด เพราะพวกเขาจะถูกประหารชีวิตทันทีที่ถูกจับตัวได้ในเขตอำนาจของประเทศแม่ เมื่อโจรสลัดชาวอังกฤษในมหาสมุทรแอตแลนติกแล่นเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปและเริ่มสำรวจมหาสมุทรอินเดีย พวกเขาถูกดึงดูดมายังมาดากัสการ์เพราะที่นั่นอยู่นอกการอ้างสิทธิ์ของบริษัทแอฟริกันหลวงแห่งอังกฤษและบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ อีกทั้งชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือก็อยู่นอกอำนาจควบคุมของอาณาจักรใหญ่ๆ บนเกาะแห่งนี้ ดังนั้น หลังจากปี 1691 มันจึงกลายเป็น
ฐานโจรสลัดอันลือลั่น พร้อมป้อมปราการ ศูนย์ซ่อมเรือ และแหล่งแลกเปลี่ยนสินค้า มีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ประชากรขึ้นลงไม่แน่นอน… ตั้งแต่เพียงไม่กี่สิบคนไปจนถึงกว่าพันคน ประกอบด้วยโจรปล้นสะดมที่ยังปฏิบัติการและที่เกษียณไปแล้ว คนที่กำลังหลบหนี และนักโทษแหกคุกหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนภรรยาชาวมาลากาซี เครือข่ายพันธมิตร พ่อค้า และผู้ติดสอยห้อยตามของพวกเขาทั้งหลาย
สุดท้ายเมืองแห่งนี้ก็เติบโตจนมีประชากรหลายพันคน ขณะที่ชายฝั่งส่วนที่เหลือก็ “พร่างพราวไปด้วยชุมชนโจรสลัดเล็กๆ มากมาย”
สังคมโจรสลัดบนมาดากัสการ์เป็นสถานที่ที่โจรสลัดสามารถระบายของที่ปล้นชิงมาบางส่วนซึ่งล้วนแต่ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ที่นำไปขายอย่างขาวสะอาดในโลกตะวันตก ทั้งนี้เพื่อแลกกับสินค้าเลี้ยงชีพหรือสินค้าหรูหราอื่นๆ เรือพาณิชย์จากที่ต่างๆ เช่น นิวยอร์ก เดินทางมารองรับตลาดโจรสลัด โดย “บรรทุกไม่ใช่แค่เอล ไวน์ สุรา ดินปืน และอาวุธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงของจำเป็นอย่างผ้าขนสัตว์ กระจก เครื่องเคลือบ ค้อน หนังสือ และเข็มเย็บผ้า”
ประเทศยุโรปโชคร้ายกว่าพวกโจรสลัดมากในการพยายามตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นทางการบนมาดากัสการ์ ไม่ใช่เพียงเพราะการเหยียดเชื้อชาติ แต่เพราะการที่พวกเขามีส่วนร่วมโดยตรงในระบบค้าทาส ตรงกันข้าม สำหรับโจรสลัดแล้ว เรือค้าทาสกลับเป็นแหล่งที่มาสำคัญของเรือลำใหม่และลูกเรือกลุ่มใหม่
ในวัฒนธรรมดั้งเดิมของมาลากาซี ผู้หญิงอยู่ในสถานะรองจากผู้ชาย ทำหน้าที่เป็นเหมือน “สัญลักษณ์” หรือ “ของกำนัล” ที่ชายคนหนึ่งมอบให้ชายอีกคนเพื่อผูกสัมพันธ์ทางสังคม แต่เมื่อแต่งงานกับผู้ตั้งถิ่นฐานที่เป็นโจรสลัด ผู้หญิงกลับเป็นฝ่ายริเริ่มแสวงหาสามีด้วยตนเอง เป้าหมายของพวกเธอคือการได้มาซึ่งทรัพยากรเพื่อทำการค้า และยืมสถานะทางสังคมของสามีชาวต่างชาติเพื่อยกระดับสถานะของตนให้สูงกว่าบทบาทที่ผู้หญิงในสังคมมาลากาซีมักได้รับ ด้วยเหตุนี้ เมื่อลงหลักปักสัมพันธ์กับประชากรท้องถิ่น โจรสลัดจึงถูกดึงเข้าสู่วัฒนธรรมของผู้หญิงมากกว่าวัฒนธรรมของนักรบชาย สังคมฝ่ายหญิงนี่เองที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการผสานวัฒนธรรมมาลากาซีกับวัฒนธรรมโจรสลัด
ในเนื้อหาส่วนที่สามและส่วนสุดท้ายของหนังสือ เกรเบอร์กล่าวถึงการก่อรูปของสมาพันธรัฐเบตซิมิซารากา ซึ่งดำรงอยู่นานกว่าและมีขอบเขตกว้างกว่าเมื่อเทียบกับชุมชนโจรสลัด ตัวสมาพันธรัฐแห่งนี้ต่างจากชุมชนโจรสลัดตรงที่เป็นผลงานของชาวมาลากาซีโดยตรง “เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ของความเป็นชายต่อความดื้อดึงของฝ่ายหญิงที่เป็นพันธมิตรกับโจรสลัด” เพื่อปรับโครงสร้างสังคมนักรบชายใหม่ตามแบบประชาธิปไตยโจรสลัด
เกรเบอร์สรุปว่า ยุคแห่งการรู้แจ้งเป็นผลผลิตของระบบโลกแบบยุโรปโดยรวม ถึงแม้ว่าความคิดแบบยุครู้แจ้ง “อาจจะผลิบานเต็มที่ในเมืองอย่างปารีส เอดินบะระ เคอนิกส์แบร์ก และฟิลาเดลเฟีย” แต่ต้นกำเนิดของมันคือดอกผลของการปะทะสังสรรค์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างแกนกลางของจักรวรรดิกับผู้คนในดินแดนอาณานิคม “การสร้างบทสนทนา ข้อโต้แย้ง และการทดลองทางสังคมที่ไขว้ข้ามกันไปทั่วทั้งโลก”
C4SS relies entirely on donations. If you want to see more translations like this, please consider supporting us. Click here to see how






