โดย เควิน คาร์สัน
เควิน คาร์สัน. บทความต้นฉบับ. More Degrowth Dogma. 5 เมษายน 2025. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin
การวิพากษ์แนวคิดเลิกโต (degrowth) โดยฝ่ายซ้าย “อีโคโมเดิร์นนิสต์” และเร่งสภาพการณ์นิยมอย่างลีห์ ฟิลิปส์ (อ่านคำวิจารณ์ของผมได้ที่นี่) และอิสรเสรีนิยมฝ่ายขวาอย่างสตีเฟน กรีนฮัท คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ทั้งคู่ต่างแสดงความเกียจคร้านเชิงแนวคิดในระดับสูง ความเกียจคร้านนี้ปรากฏเป็นพิเศษจากการที่พวกเขาไม่ยอมนิยามคำว่าเลิกโตให้ชัดเจน เลือกใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เชื่อมโยงกับคำคำนี้ในแง่ลบ และหยิบยกประเด็นที่ไม่ได้สนทนากับทฤษฎีเลิกโตจริงๆ อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ กรีนฮัท (“The ‘Degrowth’ Mentality Promises a World of Poverty and Misery,” Reason October 25 — reprinted from Orange County Register) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวโน้มดังกล่าว
ตอนต้นของบทความ กรีนฮัทสรุปว่าแนวคิดเลิกโตเสนอว่า “ความพยายามอย่างต่อเนื่องของมนุษยชาติในการพัฒนาความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจนั้นไม่ยั่งยืนและเป็นภัยคุกคามต่อโลกใบนี้” ในตอนท้าย เขาสรุปอย่างหยาบๆ กว่าเดิมว่า โลกในฝันของขบวนการเลิกโตคือโลกที่พวกเรา “ใช้เวลาทั้งวันตระเวนหาอาหารและซักผ้าด้วยก้อนหิน”
กรีนฮัทอ้างอิงเว็บไซต์ Degrowth.info ว่าแนวคิดเลิกโต “ต้องการการกระจายทรัพยากรใหม่อย่างถอนรากถอนโคน (radical redistribution) ลดขนาดเศรษฐกิจในแง่วัตถุลง และเปลี่ยนผ่านสู่ค่านิยมร่วมในการดูแล เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้” แน่นอนว่าเขาไม่พูดถึงส่วนที่เรียกร้อง “ชีวิตที่ดีสำหรับทุกคนภายใต้ขีดจำกัดการรองรับของโลก”
ตามคาด เขามองข้ามประเด็นนี้โดยกล่าวหาว่ามันเป็น “มุมมองเน้นสิ่งแวดล้อมรูปแบบล่าสุดที่สะท้อนลัทธิเผด็จการฝ่ายซ้ายแบบเดิมๆ” เขาโยงประเด็นนี้กับบทความเกี่ยวกับการก้าวกระโดดอันยิ่งใหญ่ (Great Leap Forward) ของจีน
เนื่องจากการกระจายทรัพยากรใหม่อย่างถอนรากถอนโคนและการกำหนดว่าจะจัดระเบียบสังคมใหม่อย่างไรต้องอาศัยอำนาจมหาศาลของรัฐ ดังนั้น ไม่ว่าในทางปฏิบัติแนวคิด[เลิกโต]นี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ผลลัพธ์ย่อมลงเอยด้วยการกดคนให้เป็นทาสและทำให้ทุกคนยากจนลงด้วยกันทั้งหมด และนำไปสู่ความอดอยากและความทุกข์ยากอย่างแน่นอน
…บางคนอาจแย้งว่า ผู้กำหนดนโยบายหัวก้าวหน้าในแคลิฟอร์เนียกำลังดำเนินแนวทางนี้ในลักษณะที่นุ่มนวลอ่อนโยนกว่า ด้วยการทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ และพยายามซ่อมสร้างเศรษฐกิจและปรับรูปแบบการใช้ที่ดินเพื่อส่งเสริมอนาคตที่ “ยั่งยืน” และปลอดคาร์บอน
เป็นเรื่องย้อนแย้งที่กรีนฮัทยกนโยบายก้าวกระโดดอันยิ่งใหญ่ของจีนมาใช้เปรียบเทียบในที่นี้ เพราะนโยบายดังกล่าวไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการรัดเข็มขัด แต่เกิดจากความตั้งใจที่จะเร่งขยายกำลังการผลิตทางอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง
โดยสาระสำคัญแล้ว ข้อความที่ยกมาข้างต้นเต็มไปด้วยตรรกะวิบัติแบบหุ่นฟาง ทั้งยังสะท้อนอคติส่วนตัวของเขาเอง กรีนฮัทมองข้ามเรื่องที่ว่า ประวัติศาสตร์จริงๆ ของทุนนิยมที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งแตกต่างจากเทพนิยายที่ไม่สนใจบริบทประวัติศาสตร์ที่นิตยสาร Reason คอยปกป้องอยู่เสมอ ก่อตัวขึ้นผ่านการใช้อำนาจรัฐอย่างมหาศาลเพื่อกระจายทรัพยากรใหม่อย่างถอนรากถอนโคนและจัดระเบียบสังคมใหม่ การสร้างระบบค่าแรง (wage system) ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของการแยกชนชั้นแรงงานไร้ทรัพย์สิน (propertyless working class) ออกจากปัจจัยการผลิตที่กระจุกอยู่ในมือของเจ้าของที่ไม่ได้ลงแรงเอง (absentee owners) ไม่เพียงต้องอาศัยการล้มล้างสิทธิ์ร่วมในที่ดินตามจารีต (customary communal rights) ของชาวนาทั้งระบบตั้งแต่ปลายยุคกลาง แต่ยังต้องอาศัยกฎหมายว่าด้วยการจรจัด (vagrancy laws) ซึ่งลงโทษชาวนาผู้ที่เพิ่งไร้ที่ดินด้วยการเฆี่ยน ตัดใบหู และบังคับใช้แรงงานเสมือนทาส (peonage) หากพวกเขาไม่ยอมทำงานกับเจ้าของที่ดินตามเงื่อนไขที่ฝ่ายเจ้าที่ดินเป็นผู้เสนอ
ในความเป็นจริง การกระจุกตัวของความมั่งคั่งแบบที่เป็นอยู่ รวมถึงการบริโภคทรัพยากรและสินค้าสิ้นเปลืองแบบที่เป็นอยู่ต่างหากที่พึ่งพิงการแทรกแซงของรัฐ มุกตลกที่อำกันบ่อยๆ คือรัฐบาลของประเทศที่เกิดจากการตั้งถิ่นฐานของผู้ล่าอาณานิคม (settler states) อย่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แท้จริงแล้วก็คือกลุ่มบริษัทเหมืองแร่และน้ำมันที่ปลอมตัวมาในคราบรัฐบาล
หนึ่งในหน้าที่หลักของลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตก คือการยึดและผนวกทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่ถูกล่าอาณานิคม ส่วนหน้าที่หลักของระเบียบแบบเสรีนิยมใหม่ในโลกหลังอาณานิคม คือการบีบบังคับให้ประเทศซีกโลกใต้ต้องพัฒนาแบบเน้นการส่งออก โดยมีทรัพยากรธรรมชาติเป็นสินค้าหลักที่ส่งออกไปยังโลกตะวันตก ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดโดยฝ่ายหลัง แนวทางการเติบโตของทุนนิยมตั้งอยู่บนฐานของการเติมทรัพยากรที่ถูกทำให้ดูเหมือนมีอยู่อย่างเหลือเฟือเข้าไปในระบบมาตั้งแต่แรก
การอ้างถึงเชื้อเพลิงฟอสซิลและรูปแบบการใช้ที่ดินเป็นตัวอย่างชั้นดีของการตั้งคำถามโดยมีธงในใจ
ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งเดียวที่จำเป็นต้องทำเพื่อ “ทำลาย” อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล คือการยกเลิกการใช้อำนาจเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างท่อส่งน้ำมัน (eminent domain for pipelines) ยกเลิกเพดานความรับผิดตามกฎหมายสำหรับเหตุการณ์น้ำมันรั่ว และเปิดให้อุตสาหกรรมนี้ต้องรับผิดทางแพ่งอย่างเต็มที่ต่อผลกระทบภายนอกทั้งหมดที่มันก่อขึ้น
ตัวแสดงหลักเบื้องหลังรูปแบบการใช้ที่ดินที่มีรถยนต์เป็นศูนย์กลางแบบในปัจจุบันก็คือรัฐ ไม่ว่าจะผ่านการอุดหนุนอย่างมหาศาล (รวมถึงการใช้อำนาจเวนคืนที่ดินเพื่อรื้อถอนชุมชนทั้งชุมชน) การสร้างระบบทางด่วนในเมือง
การบังคับใช้การพัฒนาเชิงเดี่ยว (monoculture development) และการพัฒนาความหนาแน่นต่ำ (low-density development) ผ่านกฎหมายผังเมืองและแผนผังการออกแบบเมือง รวมถึงการอุดหนุนพื้นที่พัฒนาใหม่รอบนอกโดยให้พื้นที่พัฒนาชั้นในที่อยู่มาก่อนและมีความหนาแน่นสูงต้องแบกรับต้นทุนในการขยายถนนและสาธารณูปโภคออกไปยังพื้นที่พัฒนาใหม่อย่างไม่เป็นธรรม
สำหรับเรื่อง “การปรับโครงสร้างสังคม” รูปแบบการพัฒนาของทุนนิยมอุตสาหกรรมแบบอเมริกันตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงกลางศตวรรษที่ 20 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากนโยบายของรัฐ หากไม่มีระบบรถไฟพลเรือน ระบบการบินพลเรือน และระบบทางหลวงที่รัฐเป็นผู้ลงทุนสร้างเกือบทั้งหมด รวมถึงการใช้สิทธิบัตรเพื่อรวมศูนย์และผูกขาดอุตสาหกรรมแล้ว โมเดลการผลิตแบบรวมศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนการผลิตสูงซึ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ก็คงจะไม่เกิดขึ้น ในทางกลับกัน เราน่าจะได้เห็นรูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่บนฐานของเศรษฐกิจการผลิตท้องถิ่นหลายสิบหรือหลายร้อยแห่ง คล้ายกับเขตอุตสาหกรรมเอมิเลีย-โรมาญ่าในอิตาลี ซึ่งเป็นการผลิตแบบต้นทุนต่ำ ใช้เครื่องจักรไฟฟ้าเอนกประสงค์ และสามารถเปลี่ยนสายการผลิตได้บ่อยครั้งตามความต้องการของตลาดเป็นหลัก
กรีนฮัทแสดงให้เห็นถึงจุดบอดเชิงแนวคิดในระดับพื้นฐานด้วยการเสนอประเด็นนี้ราวกับเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง “เศรษฐกิจแบบตลาด” กับ “เศรษฐกิจแบบสั่งการและควบคุม” เขาอ้างว่าเศรษฐกิจแบบตลาดสร้างแรงจูงใจที่ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในระดับที่น่าทึ่ง ในขณะที่เศรษฐกิจแบบสั่งการและควบคุม ไม่ว่าจะดำเนินการโดยขุนศึกหรือเทคโนแครตนักวางแผนก็ล้วนแต่ลงเอยด้วยความขาดแคลนและยากจนทั้งสิ้น
การเหมารวมเอาว่า “เศรษฐกิจแบบตลาด” เป็นสิ่งเดียวกับทุนนิยมแบบบรรษัทข้ามชาติในโลกโลกาภิวัตน์แบบที่เป็นอยู่นั้นเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัว ที่จริง แนวคิดเรื่อง “เศรษฐกิจแบบตลาด” ที่เขาว่ามาแทบจะไร้ความหมายในตัวเอง เศรษฐกิจแบบตลาดโดยนิยามแล้วคือระบบที่เปิดโอกาสให้ราคาสินค้าปรับตัวตามกลไกอุปสงค์อุปทานโดยปราศจากการแทรกแซง ซึ่งแนวคิดนี้ไปกันได้กับกฎเกณฑ์ด้านกรรมสิทธิ์ (sets of property rules) หลากหลายรูปแบบ โครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจแบบบรรษัทข้ามชาติระดับโลกยังตั้งอยู่บนฐานของอำนาจรัฐ บรรษัทข้ามชาติต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคและการขนส่งที่รัฐอุดหนุนอย่างมหาศาล รวมถึงการอุดหนุนด้านต้นทุนการผลิตอื่นๆ นอกจากนั้นยังใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในการล้อมรั้วกระบวนการผลิตที่จ้างเหมาภายนอก (outsourced production) โดยผู้รับเหมาที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นอิสระ แต่กลับต้องอยู่ภายใต้อำนาจของบรรษัทอย่างเต็มที่ ข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญาแบบสุดโต่งอนุญาตให้ทุนตะวันตกสามารถส่งออกการผลิตจริงๆ ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดออกไปยังผู้รับจ้างผลิตในเอเชีย โดยจ่ายค่าจ้างต่ำเตี้ยให้กับโรงงานทาสที่ผลิตสินค้าให้พวกเขา โดยที่ตัวเองยังคงถือสิทธิผูกขาดตามกฎหมายในการควบคุมการจัดจำหน่ายสินค้าเหล่านั้นอยู่ในมือ ทำให้สามารถบวกกำไรเพิ่มอีกหลายร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อนำไปวางขายตามร้านค้าปลีก
แต่กรีนฮัทตกเป็นเหยื่อของความล้มเหลวทางแนวคิดที่หนักหนากว่านั้น ความล้มเหลวที่ผมพูดถึงไปก่อนหน้านี้ ว่าเขาไม่ให้คำนิยามที่ชัดเจนของคำว่า “การเติบโต” และ “การเลิกโต” เลยแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่น
สังคมที่เศรษฐกิจเติบโตสามารถรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ดีที่สุด เพราะมีทรัพยากรส่วนเกินไว้ใช้ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม สังคมที่เติบโตและเป็นเสรีจะก่อให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ประเทศคอมมิวนิสต์กลับกลายเป็นผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ของโลก
ที่ย้อนแย้งก็คือ ประเทศมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ในศตวรรษที่ 20 สร้างของเสียและมลพิษปริมาณมหาศาลด้วยเหตุผลเดียวกันกับประเทศทุนนิยมตะวันตก นั่นคือทั้งสองต่างมีความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับคำว่า “การเติบโต” ทฤษฎีว่าด้วยผลิตภาพส่วนเพิ่มของจอห์น เบสต์ คลาร์ก มองว่าความสามารถในการเรียกเก็บเงินจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่ากับการสร้างมูลค่า[ให้กับสิ่งสิ่งนั้น] ทั้งระบบบัญชีที่คิดบนฐานของ GDP ระดับชาติและระบบบัญชีบริหารของบรรษัทตามมาตรฐาน GAAP ต่างก็มีแนวโน้มที่จะมองการบริโภคทรัพยากรว่าเป็นการสร้างมูลค่า และเมื่อทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตได้รับการอุดหนุนโดยรัฐ ส่วนบริษัทที่สร้างผลกระทบภายนอกเชิงลบกลับได้รับการปกป้องไม่ให้ต้องรับผลของการกระทำของตน แรงจูงใจในการลดของเสียหรือมลภาวะจึงยิ่งน้อยลงไปอีก ทำนองเดียวกัน หน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจของโซเวียตอย่างกอสแพลน (Gosplan) ถือว่าการใช้ทรัพยากรเพื่อผลิตสินค้าให้ได้ตามโควตาที่กำหนดไว้ในแผนคือการสร้างมูลค่า โดยไม่คำนึงว่าสินค้าที่ผลิตออกมาจะมีใครใช้งานหรือใช้งานได้จริงหรือไม่ เมื่อนักวางแผนของภาครัฐไม่ได้กำหนดมูลค่าหรือราคาสำหรับผลกระทบภายนอกเชิงลบเหล่านี้ เพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มปริมาณผลผลิตให้สูงสุด พวกเขาจึงมีแรงจูงใจที่จะหลีกเลี่ยงมลพิษน้อยกว่าประเทศตะวันตก
นอกจากนี้ โครงสร้างของเศรษฐกิจแบบผลิตปริมาณมากยังสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติมในการสร้างของเสียและความไร้ประสิทธิภาพ อุตสาหกรรมอเมริกันที่พึ่งพิงเครื่องจักรราคาแพงที่ใช้ผลิตสินค้าเฉพาะอย่าง จึงมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงและมีแรงจูงใจอย่างมากในการผลิตสินค้าออกมาให้ได้มากที่สุดเพื่อลดต้นทุนต่อชิ้นลง นำไปสู่การผลิตสินค้าสิ้นเปลืองปริมาณมหาศาล (ไม่ว่าจะเป็นระบบอุตสาหกรรม-ทหาร (military-industrial complex) การขยายเมืองแบบไร้ทิศทางพร้อมกับวัฒนธรรมที่พึ่งพารถยนต์ หรือการออกแบบสินค้าให้เสื่อมสภาพเร็วโดยตั้งใจ (planned obsolescence) ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
ตรงนี้เองที่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคำว่าการเติบโตและการเลิกโตเป็นเรื่องสำคัญ กรีนฮัทอ้างอิงงานเกี่ยวกับขบวนการเลิกโตหลักๆ สองชิ้น ชิ้นแรกจาก Vox อีกชิ้นจาก World Economic Forum เขาเลือกอ้างอิงข้อความจากทั้งสองบทความโดยจงใจละเลยรายละเอียดและคำอธิบายสำคัญจำนวนมาก ทำให้เกิดภาพที่บิดเบือนอย่างรุนแรง เขาพูดถึงข้อโต้แย้งเพื่อปกป้องแนวคิดเลิกโตโดยนักเขียนอย่างเจสัน ฮิกเคิล และคนอื่นๆ แค่พอเป็นพิธี แล้วรีบกล่าวหาว่าคนเหล่านี้กำลัง “ตกแต่ง” หุ่นฟางของแนวคิดที่เขาแปะป้ายแบบผิดๆ ให้ “ให้ฟังดูมีเหตุมีผล” (sanewashing)
บทความทั้งสองชิ้นที่กรีนฮัทอ้างถึง อย่างน้อยที่สุดก็มีข้อดีตรงที่พยายามถ่ายทอดข้อโต้แย้งของแนวคิดเลิกโตจริงๆ อย่างซื่อตรง แม้พวกเขาจะยังตกหล่มความสับสนที่ซื่อตรงพอๆ กัน เนื่องจากเทียบคำว่า “การเติบโต” กับคุณภาพชีวิต “การเลิกโต” กับการรัดเข็มขัด และ GDP กับความเจริญรุ่งเรือง บทความทั้งสองอ้างคำพูดของคนอื่นอยู่หลายครั้ง เช่น (บทความใน WEF) อ้างถึงคำพูดของฮิกเคิล ว่าแนวคิดเลิกโตไม่ใช่เรื่องของการรัดเข็มขัดตรงๆ แต่คือการ “ลดปริมาณการใช้ [พลังงานและทรัพยากร] โดยรวม”
บทความใน Vox โควตคำพูดของฮิกเคิลที่ยาวกว่านั้นมาก
ถ้าเครื่องซักผ้า ตู้เย็น และโทรศัพท์ของเราใช้งานได้นานเป็นสองเท่า เราก็จะบริโภคสิ่งเหล่านี้เพียงครึ่งหนึ่ง (ซึ่งหมายความว่าผลผลิตของอุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีปริมาณลดลง) โดยที่เราไม่ได้สูญเสียการเข้าถึงสินค้าเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย…
…คำว่าความยากจนเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะสินค้าที่ใช้งานได้นานขึ้น ค่าจ้างที่เลี้ยงชีพได้ ชั่วโมงการทำงานที่สั้นลง การเข้าถึงบริการสาธารณะที่ดีขึ้น และที่อยู่อาศัยในราคาที่เอื้อมถึง สิ่งที่เรากำลังเรียกร้องเหล่านี้ตรงกันข้ามกับความยากจนโดยสิ้นเชิง แน่นอน อุตสาหกรรมอย่างรถ SUV และแฟชั่นรวดเร็วอาจหดตัวลง แต่ไม่ได้แปลว่าเรายากจน เราสามารถแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยระบบขนส่งสาธารณะและเสื้อผ้าที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ซึ่งยังคงตอบสนองความต้องการของทุกคนได้อยู่ดี
หัวใจอยู่ตรงนี้เอง การให้ความสำคัญกับการ “ลดการผลิต” ไม่มีความหมายอะไรเลย เว้นแต่เราจะคำนึงด้วยว่าสิ่งที่เราผลิตจริงๆ แล้วเป็นสินค้าสิ้นเปลืองและสร้างอรรถประโยชน์เชิงลบ (negative utility) มากน้อยเพียงใด
เนื้อในส่วนใหญ่ของ GDP มาจากระบบอุตสาหกรรม-ทหาร ตำรวจ และเรือนจำ ทางหลวงระหว่างรัฐที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าครอบคลุมพื้นที่ตลาดขนาดใหญ่ถูกลงอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริง สินค้าเหล่านั้นควรจะผลิตเพื่อบริโภคในท้องถิ่นจึงจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจกว่ามาก การขยายเมืองแบบไร้ทิศทางและวัฒนธรรมรถยนต์ที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐก่อให้เกิดระยะทางเทียม (artificial distance) ระหว่างสิ่งต่างๆ ทำให้ผู้คนต้องพึ่งพารถยนต์ และกลายเป็นอุปสรรคต่อระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ การออกแบบให้สินค้าเสื่อมสภาพเร็วโดยเจตนาเกิดขึ้นทุกหนแห่ง สินค้าจำนวนมากถูกออกแบบมาเพื่อให้ซ่อมแซมยากและมีอายุการใช้งานสั้น ภาคเศรษฐกิจส่วนใหญ่เต็มไปด้วย “งานเฮงซวย”
และสินค้าสิ้นเปลืองพวกนี้ส่วนใหญ่จะกำจัดให้หมดไปได้ไม่ใช่ด้วยการควบคุมบังคับ แต่ด้วยการยกเลิกการอุดหนุนและการคุ้มครองไม่ให้ต้องรับผิดทางกฎหมาย เพื่อให้ราคาของการบริโภคทรัพยากรสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมถึงกำจัดการใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาในการสนับสนุนการออกแบบสินค้าให้เสื่อมสภาพไว
หากไม่มีความขาดแคลนเทียมที่ถูกสร้างขึ้นโดยกฎหมาย อาทิ ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งขัดขวางไม่ให้ผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอายุใช้งานที่เหมาะสม ถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค ผลลัพธ์ตามธรรมชาติของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นก็คือ GDP จะหดตัวลง สิ่งที่ขัดขวางคุณภาพชีวิตไม่ให้แยกตัวออกจาก GDP ก็คือความขาดแคลนเทียมนี่เอง ดังที่ทอม ปีเตอร์สเคยโอ้อวดเอาไว้ว่า ราคากล้องตัวใหม่ของเขาส่วนใหญ่มาจาก “ปัญญา” (intellect) มากกว่าต้นทุนแรงงานหรือวัสดุ
เรายังถกเถียงกันได้ว่า การยุติการอุดหนุนการบริโภคทรัพยากรและสินค้าสิ้นเปลื้องจะเพียงพอหรือไม่ต่อการลดรอยเท้านิเวศให้ได้ตามเป้าที่ต้องการเพื่อบรรเทาความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม แต่ขอให้เราถกเถียงกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ด้วยการพูดอะไรมั่วๆ อย่าง “นี่คือการย้อนเวลากลับไปล้มเลิกความก้าวหน้ามากมายที่เคยยืดอายุขัยและยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเรา” หรือคอยเทศนาให้กับผู้ฟังที่เห็นคล้อยตามกันอยู่แล้วในพื้นที่อย่าง OC Register
C4SS relies entirely on donations. If you want to see more translations like this, please consider supporting us. Click here to see how