“เงินกับการเมือง” โดย ลอแรนซ์ ลาบาดี

เอริค เอฟ. บทความต้นฉบับ: Laurance Labadie’s “Money and Politics,” 27 มกราคม 2022. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin

โดย เอริค เอฟ.

เงิน โดยเฉพาะเงินประเภทเครดิต (credit money) คือหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดจากความร่วมมืออันยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่มีเงิน การแบ่งงานกันทำอย่างละเอียดซับซ้อนย่อมดูจะเป็นไปไม่ได้เลยยกเว้นในระบบที่รัฐควบคุมอุตสาหกรรมไว้ทั้งหมด และแม้ในกรณีเช่นนั้นเองก็ตาม เราก็ยังจำเป็นต้องมีบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายเงินเพื่อควบคุมและตรวจสอบการบริโภค

เราจะไม่เข้าใจเงินถ้าไม่คิดถึงมาตรฐานของมูลค่า (standard of value) และฐานของการออกเงิน (basis of issue) ไปพร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้นการกล่าวว่า “เป็นความหลงผิดอย่างร้ายแรงที่เชื่อว่าเงินต้องมีอะไรมารองรับมูลค่า” จึงเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเงินในฐานะการอ้างสิทธิ์เหนือทรัพย์สิน ย่อมต้องอาศัยสิ่งที่มีแก่นสารกว่าแค่คำมั่นสัญญาเลื่อนลอยเพื่อให้ตัวมันมั่นคง มีเสถียรภาพ หรือเชื่อถือได้ และสิ่งนั้นย่อมต้องเป็นความมั่งคั่งที่จับต้องได้ กล่าวคือเป็นอะไรก็ตามที่มีมูลค่าและไม่เสี่ยงต่อการเสื่อมค่าอย่างรวดเร็วและรุนแรง

นอกจากนี้ การคิดว่าภายในระบบการเงินที่สมเหตุสมผลจริงๆ การกักตุนเงิน (hoarding) จะก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็เป็นแนวคิดที่ไร้สาระเช่นเดียวกันกับการกล่าวว่าผู้ที่เก็บเงินไว้สำหรับใช้ในยามลำบากจะต้องตกระกำลำบากเสียเอง ไม่มีเหตุผลอะไรให้เชื่อว่า การกักตุนเงิน ซึ่งเป็นเพียงการเลื่อนการบริโภคออกไป โดยพื้นฐานแล้วจะเปลี่ยนแปลงการผลิตหรือการกระจายความมั่งคั่งใดๆ ได้ เมื่อเข้าใจว่าขีดจำกัดตามธรรมชาติของเงินประเภทเครดิตอยู่ที่มูลค่าทรัพย์สินที่เป็นฐานรองรับ การคิดว่าการกักตุนเงินจะทำให้ปริมาณเงินที่จำเป็นในระบบลดลงจึงเป็นความเข้าใจผิดอย่างชัดเจน ตราบใดที่ยังมีทรัพย์สินที่ไม่ได้ถูกนำมาแปลงเป็นเงิน

“ความหลงผิดอย่างร้ายแรง” อีกอย่างคือการเชื่อว่า “การเพิ่มหรือลดปริมาณเงินที่เหมาะสม” สามารถส่งผลต่อมูลค่าของเงินหรือ “ทำให้มูลค่ามั่นคง” ได้ เงินเป็นคำมั่นสัญญาว่าจะจ่าย หากสมิธมีข้าวสาลี 1,000 บุชเชล และออกสัญญา 100 ฉบับ โดยแต่ละฉบับแทนข้าว 1 บุชเชล การออกสัญญาเพิ่มอีก 100 ฉบับ จะกระทบต่อมูลค่าสัญญาเหล่านั้นได้อย่างไร มูลค่าจะลดลงก็ต่อเมื่อเขาออกสัญญามากเกินกว่าสินทรัพย์ที่มี หรือก็คือเมื่อไม่มี “สิ่งที่รองรับมูลค่าของเงิน” ความไร้เสถียรภาพเป็นคุณลักษณะของระบบเงินที่บกพร่อง

ท้ายที่สุด อะไรคือปัญหาว่าด้วยเงิน ปัญหานั้นก็คือการจัดหาสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่มั่นคงด้วยต้นทุนต่ำ ดอกเบี้ยมักได้รับการพิสูจน์อยู่บ่อยครั้งว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติและเป็นสาเหตุหลักของการกดขี่ขูดรีด ดอกเบี้ยอาจเกิดจากสองสิ่ง ได้แก่ การขาดแคลนเงินหรือการควบคุมการออกเงินโดยกลุ่มคนไม่กี่คน ปัจจุบันดอกเบี้ยเกิดจากทั้งสองปัจจัย แต่ส่วนใหญ่เป็นอย่างหลัง ต้นทุนแรงงานที่แท้จริงของการธนาคารอาจไม่เกินครึ่งเปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกินกว่านั้นล้วนแต่เป็นดอกเบี้ย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการปล้นและฉ้อโกง

เท่าที่เรารู้ ทองคำเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดสำหรับการเป็นมาตรฐานของมูลค่า ทองคำมีมูลค่าที่ค่อนข้างมั่นคง มีประโยชน์ ทนทาน สังเกตได้ง่าย มีคุณภาพที่สม่ำเสมอ สามารถแบ่งย่อยได้โดยไม่สูญเสียมูลค่า และยังมีมูลค่าสูงในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับสิ่งอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ทองคำเป็นฐานการออกเงินตราที่ไม่ค่อยดีนักหากวัดในแง่ของปริมาณทองคำ แต่ทองคำควรมีโอกาสเทียบเท่ากับสิ่งอื่นๆ ในการทำหน้าที่เป็นฐานสำหรับการออกเงิน

ทุกวันนี้เราเห็นภาพของอภิสิทธิ์ชนเจ้าของทองคำได้รับดอกเบี้ยผ่านระบบธนาคารกลางสหรัฐในอัตราที่สูงถึง 8 ถึง 15 เท่าของเงินทุนเดิมของพวกเขา เมื่อเข้าใจว่า ดอกเบี้ยจากเงินเป็นสาเหตุหลักของกำไรทางธุรกิจ ความเลวร้ายของการหลอกลวงนี้ก็ปรากฏชัดเจน สิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจ คือการแยกความแตกต่างระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาคการเงิน ภาคการเงินนั้นแทบจะเป็นแค่ปลิงดูดทรัพยากร (pure leachery) สุดท้ายผลประโยชน์ของธนาคารจึงกลืนกินและเข้าควบคุมภาคอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หมายเหตุ โดย เอริค ไฟล์ชแมนน์:

บทความชิ้นนี้อยู่ในคอลเลกชันผลงานของโจเซฟ เอ. ลาบาดี ที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยมิชิแกน เดิมเขียนขึ้นสำหรับวารสารอนาธิปไตยฉบับที่สองชื่อ Mother Earth ตีพิมพ์ในปี 1933 โดยจอห์น จี. สก็อตต์และโจ แอนน์ วีลเลอร์ งานชิ้นนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในงานนับร้อยชิ้นที่ลาบาดีเขียนถึงเงิน คอร์ด นักเขียนนิรนามใน Anarcho-Pessimism เขียนไว้ว่า “ด้วยไม่ยี่หระกับกระแสนิยมของผู้คนในยุคนั้นเป็นทุนเดิม ลาบาดีได้เขียนหลักการพื้นฐานว่าด้วยแนวคิดเชิงสมรู้ร่วมคิดเกี่ยวกับเงินขึ้นในทศวรรษ 1930 โดยสื่อเป็นนัยว่า การปฏิรูปเพียงอย่างเดียวที่จะสามารถยกระดับเป็นการสนับสนุนแนวคิดปัจเจกนิยมและเสรีภาพได้น่าจะเป็นการแยกเงินออกจากรัฐ!” ในหมายเหตุสำหรับโครงการ Laurance Labadie Archival Project ชิ้นนี้ ผมอยากจะพูดถึงทฤษฎีเรื่องเครดิตของลาบาดี ต่อด้วยการชวนคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับระบบธนาคารกลางของสหรัฐฯ

สำหรับลาบาดี “ข้อจำกัดโดยธรรมชาติของเงินประเภทเครดิตก็คือปริมาณของความมั่งคั่งที่เป็นฐานรองรับมูลค่าของเงิน” ด้วยเหตุนี้ “เงินในฐานะการอ้างสิทธิ์เหนือทรัพย์สิน ย่อมต้องอาศัยสิ่งที่มีแก่นสารกว่าแค่คำมั่นสัญญาเลื่อนลอยเพื่อให้ตัวมันมั่นคง มีเสถียรภาพ หรือเชื่อถือได้ และสิ่งนั้นย่อมเป็นความมั่งคั่งที่จับต้องได้ กล่าวคือเป็นอะไรก็ตามที่มีมูลค่าและไม่เสี่ยงต่อการเสื่อมค่าอย่างรวดเร็วและรุนแรง” ข้อเสนอนี้ตรงกันข้ามกับความเข้าใจเรื่องเครดิตของเควิน คาร์สัน (Kevin Carson) ในหนังสือ The Desktop Regulatory State ซึ่งถกเถียงเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องระบบการชำระหนี้แบบหักเครดิตร่วมกัน (mutual credit-clearing system) ซึ่งธุรกิจต่างๆ “ใช้จ่ายเงินขึ้นมา (spend money into existence) ด้วยการก่อหนี้เพื่อซื้อสินค้าภายในระบบ แล้วจากนั้นก็หาเครดิตเพื่อชดเชยหนี้เหล่านี้โดยการขายบริการของตนภายในระบบดังกล่าว สกุลเงินทำหน้าที่เป็นเสมือน IOU (ฉันเป็นหนี้คุณ) ซึ่งผู้เข้าร่วมสามารถสร้างมูลค่าของการผลิตในอนาคตของตนให้เป็นเงินได้” เมื่อเปรียบเทียบแนวคิดที่มองเครดิตในมุมของการแลกเปลี่ยนร่วมกัน (mutualistic considerations of credit) ทั้งสองแบบ ผมสังเกตว่า แนวคิดแรกมองว่าเครดิตคือเครื่องมือหลักในการแลกเปลี่ยนผ่านการเป็นเจ้าของ “สิ่งของ” (stock) ในขณะที่แนวคิดที่สองมองว่าเครดิตเป็นกลไกสำหรับ “การไหลเวียน” (flow) ของสินค้าและบริการ แนวคิดใดคิดถูก บางทีอาจจะมีเพียงตลาดที่(ถูกทำให้)เสรีอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้

แต่ด้วยความเชื่อในเรื่องเงินประเภทเครดิตแบบกระจายศูนย์ (decentralized credit money) ลาบาดีจึงคัดค้านระบบธนาคารกลาง เช่น ระบบธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve System) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การคัดค้านระบบเฟด (Fed) ถือเป็นแนวคิดสำคัญในแนวนโยบายการเมืองแบบอิสรเสรีนิยม (libertarian politics) ของอเมริกาเหนือ เว็บไซต์ของพรรคอิสรเสรีนิยมย้ำอยู่เสมอถึง “การล้มเลิกระบบธนาคารกลางสหรัฐ, กองทุนประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง (Federal Deposit Insurance Corporation), ระบบธนาคารแห่งชาติ (National Banking System), และการแทรกแซงรูปแบบอื่นๆ” อย่างไรก็ตาม ข้อวิจารณ์ของลาบาดีต่อ “อภิสิทธิ์ชนเจ้าของทองคำได้รับดอกเบี้ยผ่านระบบธนาคารกลางสหรัฐในอัตราที่สูงถึง 8 ถึง 15 เท่าของเงินทุนเดิมของพวกเขา” เกิดขึ้นเกือบ 40 ปีก่อนที่เดวิด โนแลน (David Nolan) จะก่อตั้งพรรคอิสรเสรีนิยมเพื่อตอบโต้ต่อการล้มเลิกมาตรฐานทองคำบางส่วนของประธานาธิบดีนิกสันในปีเดียวกับที่ลาบาดีเขียนบทความชิ้นนี้ ที่จริงแล้ว ลาบาดีเขียนบทความนี้เกือบ 20 ปีก่อนที่ ดีน รัสเซลล์ (Dean Russell) จะเสนอให้ชาวเสรีนิยมแบบคลาสสิกเลิกใช้คำว่า “เสรี” (liberal) และ “พวกเราที่รักเสรีภาพควรจดเครื่องหมายการค้าคำที่ดีงามและทรงเกียรติอย่างคำว่า “อิสรเสรี” (libertarian)…ไว้ใช้กันเอง” ลาบาดีเกิดก่อนที่กฎหมายธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve Act) ปี 1913 จะกำหนดเส้นทางอันถาวรสู่การรวมศูนย์ระบบธนาคารแบบในปัจจุบันถึง 15 ปี เขาจึงมีโอกาสได้เห็นผลกระทบที่เลวร้ายของระบบดังกล่าวโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ประเด็นนี้เพิ่มน้ำหนักให้กับมุมมองที่เขานำเสนอในบทความชิ้นนี้ และช่วยให้บริบทที่กว้างขึ้นสำหรับการอ่านและวิเคราะห์บทความชิ้นนี้สำหรับชาวอิสรเสรีนิยมร่วมสมัยทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย.

Anarchy and Democracy
Fighting Fascism
Markets Not Capitalism
The Anatomy of Escape
Organization Theory